มารู้จักที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine) กันสักหน่อยดีกว่า
อุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด ติดกับคาบสมุทรชิเรโตโกะ อุทยานแห่งนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่มรดกโลกในด้านความหลากหลายทางระบบนิเวศจากองกรค์ UNESCO ในปี 2005 รวมไปถึงบรรดาสัตว์ป่านานาชนิด เช่น หมีสีน้ำตาล กวาง สุนัขจิ้งจอก
ขึ้นชื่อว่าเป็นอุทยานทั้งที ก็ต้องมีพื้นที่กว้างมากถึง 386.33 ตารางกิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมทั้งบนบกและในทะเล (รวมถึงสัตว์น้ำในทะเลของพื้นที่อุทยานด้วยนะ) หรือมีขนาดใหญ่ประมาณ 1 ใน 4 เท่าเมื่อเทียบกับพื้นที่ของจังหวัดกรุงเทพมหานครเลยทีเดียวนะ !
ส่วนชื่อของอุทยานแห่งนี้ ก็มาจากภาษาพื้นเมืองของชาวไอนุ “ชิเรโทโกะ” ซึ่งแปลว่า “จุดจบของโลก” ซึ่งเค้าหมายถึงว่าเป็นดินแดนที่เป็นจุดสิ้นสุดของโลก (ขอบโลก) ไม่ใช่ว่าโลกจะแตกนะคร้าบ
ชวนเปิดประสบการณ์แนบชิดติดธรรมชาติ ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดประจำอุทยาน
1. กิจกรรมชื่นชมธรรมชาติต่าง ๆ
อาทิเช่น เดินป่า ล่องเรือ เล่นสกี ล่องแก่ง แช่ออนเซ็นและปีนเขาไปยังจุดชมวิวต่าง ๆ
2. ส่องหมีน้ำตาล
อุทยานแห่งนี้มีจำนวนของน้องพี่สีน้ำตาลที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งสัตว์ป่าประจำเกาะฮอกไกโดมากถึง 1,000 ตัว เพราะฉะนั้นการเดินทางภายในอุทยานแห่งนี้จะต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ
3. ชมน้ำตกรอบอุทยาน
– Oshinkoshin falls น้ำตกที่มีความสวยงามเเละเป็น 1 ใน 100 ของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใกล้กับตัวอุทยาน (และใกล้กับเมืองอุโทโระ)
– Furepe falls น้ำตกที่มีต้นกำเนิดมาจากน้ำใต้ดิน ที่ชาวพื้นเมืองเปรียบเปรยว่าเป็นน้ำตาของหญิงพรหมจรรย์
4. ทะเลสาบทั้งห้าแห่งชิเรโตโกะ (Shiretoko Five lake)
หนึ่งในไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด ทะเลสาบทั้งห้านี้ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้มีน้ำพุจากใต้ดินไหลเข้ามาทำให้เกิดเป็นทะเลสาบขึ้นมานั่นเอง โดยระยะทางที่ให้เราสามารถเดินชมความงามของจุดที่ทะเลสาบทั้ง 5 ไหลมารวมกันจะประมาณ 1.6 กิโลเมตร (แบบระยะสั้น) และ 3 กิโลเมตร (แบบระยะยาว)
โดยเค้าจะมีสะพานไม้ให้เราเดินไปตามทางได้ ไม่หลงแน่นอน
แต่ต้องบอกว่าพื้นที่บริเวณที่เราเดินอยู่นี้คืออาณาเขตของหมีสีน้ำตาล (ในข้อ 2) ตรงนี้เราจะต้องระวังความปลอดภัยในกรณีที่น้องเดินเข้ามาใกล้ ๆ กับทางเดิน (เค้าจะมีวิดีโอแนะนำเราก่อน)
5. ไปแช่น้ำในน้ำตกที่อุ่นที่สุด (Kamuiwakka River)
น้ำตกแห่งนี้มีอุณหภูมิที่สูงพอทำให้อุ่น(จนไปถึงร้อน) เฉลี่ยอยู่ที่ 38 องศา สมกับฉายา “Hot Waterfalls” นักท่องเที่ยวมากมายต่างมาเดินเทรลและปิดท้ายด้วยการแช่น้ำตกผ่อนคลาย
6. ชมภูเขาราวสึ (Rausu)
ภูเขาที่ตั้งอยู่ภายในตัวอุทยาน โดยมียอดเขาที่สูงที่สุดของคาบสมุทรชิเรโทโกะ ซึ่งสูงถึง 1,661 เมตรเลยทีเดียว โดยภายในหุบเขาแห่งนี้จะมีเมืองเล็ก ๆ ให้ชมอยู่ข้างใน (เมือง Rausu) และมีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งนี้ (แต่ต้องระวังหมีสีน้ำตาลกันให้ดีนะคร้าบ)
7. ชมเมืองอุโทโระ (Utoro) และ หินโอรอนโกะ (Oronko Rock) เมืองแห่งชายฝั่งพักผ่อนยอดนิยมประจำอุทยาน
เมืองนี้เป็นเมืองแห่งชาวประมงที่มีขนาดใหญ่ในรอบๆอุทยานแห่งนี้ โดยไฮไลท์สำคัญคือ ซึ่งจะมีความสูงประมาณ 60 เมตรเเละตั้งอยู่ติดกับท่าเรือ
ความสวยงามที่แตกต่างกันใน 4 ฤดูกาลแห่งอุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ
ฤดูใบไม้ผลิ (ตั้งแต่มีนาคม-พฤษภาคม)
หากมาเที่ยวในช่วงนี้ เพื่อน ๆ อาจจะได้เห็นหิมะหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งเราก็จะได้ไปชมทิวทัศน์กำแพงหิมะ(Shiretoko Wall Walk) กัน กำแพงหิมะ (Shiretoko Wall Walk)
จริง ๆ แล้วมันก็คือ หนึ่งในถนนของเส้นทางชิเรโทโกะ (Shiretoko Pass) นี้เค้าจะปิดในช่วงหน้าหนาวเพราะหิมะมันหนามาก แล้วจะเปิดให้บริการอีกทีในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหากเรามาในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายนเนี่ย ก็จะได้พบกับวิวถนนที่ยังปกคลุมหิมะให้เดินเล่นและดูเพลิน ๆ ตา เพียงแต่..มันไม่ได้ดูฟรีนะคร้าบ เพื่อน ๆ ต้องทำการจองล่วงหน้า และมีค่าเข้าชมด้วยนะ สำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 2,500 เยน
ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม)
สำหรับหน้าร้อน หนึ่งในกิจกรรมที่เพลิดเพลินใจที่สุด คงไม่พ้นการล่องเรือนำเที่ยวชมธรรมชาติแนวชายฝั่งของอุทยาน หมีสีน้ำตาล กวาง และสุนัขจิ้งจอก บนชายหาด ปลาโลมา ปลาวาฬ สิงโตทะเล ในทะเล และนกต่างๆ เหนือผืนน้ำ โดยเพื่อน ๆ สามารถขึ้นได้ที่ท่าเรือเมืองอุโทโระ
โดยจะมีโปรแกรมการล่องเรืออยู่ 2 รูปแบบ
แบบสั้น : ใช้เวลา 1.30 ชม
แบบยาว : ใช้เวลา 3.45 ชม.
สำหรับการล่องเรือในแบบยาว เค้าก็จะพาเราล่องไปจนถึงแหลมชิเรโตโกะ และเราอาจจะได้ชมพระอาทิตย์ตกตามแนวชายฝั่งสุดโรแมนติก
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน)
แน่นอนว่าในฤดูนี้ ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยสีสันหลากสี โดยเฉพาะสีของโมมิจิ หรือ ใบไม้สีแดง เราขอแนะนำเส้นทางชิเรโทโกะ(Shiretoko Pass) ชมวิวใบไม้สีแดงกันให้ฉ่ำตา โดยเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางระหว่างอุทยานชิเรโตโกะและหุบเขาราอุสุและเมืองอุโทโระ มีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร โดยเส้นทางนี้จะปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาวของทุกปี สำหรับราคาค่าขับรถยนต์ผ่านเข้ามาในเส้นทางนี้จะอยู่ที่ 1,380 เยน ต่อท่าน
ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
สำหรับไฮไลท์ที่เหล่านักท่องเที่ยวนิยมมาชมกันในช่วงหน้าหนาวคือ รับชมปรากฏการณ์ Drift Ice
ปรากฏการณ์ Drift Ice หรือเรียกว่า ริวเฮียว (Ryuhyo) แปลง่าย ๆ คือธารน้ำแข็งที่ปกคลุมบนมหาสมุทร
ว่ากันว่าน้ำแข็งเหล่านี้
โดยเราสามารถนั่งเรือตัดน้ำเเข็ง ซึ่งจะล่องเรือผ่านธารน้ำเเข็งอยู่อย่างหนาเเน่น
สำหรับการล่องเรือตัดน้ำแข็งที่แนะนำที่ใกล้กับอุทยานที่สุดคือที่เมือง Abashiri โดย บริษัท Abashiri Drift Ice Sightseeing & Icebreaker Ship และ Aurora
พิกัด อุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ (Shiretoko national park)
ที่อยู่ | Hokkaido, Shari District, Shari, |
วิธีเดินทาง | การเดินทางเราขอแนะนำจาก ชาริ (Shari) โดยนั่งรถบัสจากสถานี Shari Bus Terminal ใช้ประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 1,650 เยน มาลงที่สถานี Utoro onsen station ที่เมืองอุโทโระ |
เวลาทำการ | เปิดทำการทุกวัน |
ราคา | ฟรี |
Website | Shiretoko National Park |
วิธีเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ (Shiretoko national park)
เนื่องจากอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงขอบทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอกไกโด ด้วยพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้าง จึงทำให้การเดินทางอาจจะยากลำบากสักหน่อย
เราขอแนะนำให้เพื่อน ๆ พักค้างคืนที่เมือง อุโทโระ (Utoro) หรือเมืองชาริ (Shari ) สำหรับเมืองราวสึ (Rausu) ก็อยู่ติดกับอุทยาน แต่ว่าที่พักจะไม่ค่อยเยอะและเดินทางลำบากกว่าพอสมควร
การเดินทางเราขอแนะนำจาก ชาริ (Shari) โดยนั่งรถบัสจากสถานี Shari Bus Terminal ใช้ประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 1,650 เยน มาลงที่สถานี Utoro onsen station ที่เมืองอุโทโระ ซึ่งเป็นทางเข้าสู่อุทยาน
สำหรับการเดินทางจากเมืองซัปโปโร (Sapporo) สามารถเดินทางได้จาก Chuo Bus Sapporo Terminal โดยแนะนำให้โดยสารรถบัสเดินทางแบบข้ามคืน (8 ชั่วโมง) มาลงที่สถานี Abashiri Eki mae แล้วนั่งรถไฟสายสีเขียวมาลงที่เมืองชาริ (Shiretokoshari Station)
ขับรถท่องเที่ยวเอง : ใช้เวลาเดินทางจากเมืองชาริประมาณ และจากเมืองอุโทโระ สำหรับราคาค่าขับรถยนต์ผ่านเข้ามาในเส้นทาง Shiretoko Pass เพื่อชมความงามภายในอุทยานจะอยู่ที่ 1,380 เยน ต่อท่าน
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
1. Lake Kanayama
สถานที่เที่ยวพักผ่อนแสนสบายใจ เพราะมีทิวทัศน์ที่เป็นทะเลสาบและทุ่งลาเวนเดอร์สุดสวยงาม นอกจากชื่นชมความงามแล้ว เค้าก็ยังมีกิจกรรมให้ทำด้วยนะ เช่น พายเรือแคนนู ตกปลา (ปลาวะคะซะงิ) หรือกางเต๊นท์ก็นิยมเช่นกัน
พิกัด Lake Kanayama
ที่อยู่ | Minamifurano, Sorachi District, Hokkaido, Japan |
วิธีเดินทาง | นั่งรถบัสจาก Chuo Bus Sapporo Terminal มาลงที่ Furano Eki mae แล้วนั่งรถบัสสายสีเขียว (Nemuro Line) มาลงที่ Higashi-Shikagoe Station |
เวลาทำการ | เปิดทำการทุกวัน |
ราคา | ฟรี |
Website |
2. ฟาร์มโทมิตะ
ทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่ อีกหนึ่งไฮไลท์จุดชมดอกไม้ที่สวยที่สุดในฮอกไกโด เบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ท่ามกลางธรรมชาติภูเขา ซึ่งที่นี่มีประวัติมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี ภายในฟาร์มนั้นมีสถานที่ท่องให้เราแวะเที่ยวชม ชิมลิ้มลองอาหารหรือขนมที่ทำจากฟาร์ม รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อีกด้วย ถ้ายังไม่เห็นภาพเราจะอธิบายเป็นตัวเลขแทน คือที่นี่มีสวนดอกไม้ทั้งหมด 13 สวน และยังมีสถานที่ให้เที่ยวชมอีกมากมาย
พิกัด ฟาร์มโทมิตะ
ที่อยู่ | 15 Kisenkita, Nakafurano, Sorachi District, Hokkaido 071-0704 |
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟจาก Sapporo สาย Lilac-Kamui มาลงที่ Asahikawa แล้วนั่งรถสาย Furano Line มาลงที่ Naka-Furano Station |
เวลาทำการ | 08.30 – 18.00 น. เปิดทำการทุกวัน |
ราคา | ฟรี |
Website | ฟาร์มโทมิตะ |
3. Shikisai Hill
ทุ่งดอกไม้ชิกิไซโนะโอกะ (Shikisai No Oka) หรือที่มีชื่อเต็มว่า “Panoramic Flower Gardens Shikisai-no-oka” ตั้งอยู่ที่เมืองบิเอะ(Biei) ในจังหวัดฮอกไกโด เป็นสถานที่ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีความงดงามทั้ง 4 ฤดูกาล พร้อมด้วยดอกไม้งามให้รับชมหลายสายพันธุ์ อาทิเช่น ลาเวนเดอร์ ทิวลิป โคเคีย ทานตะวัน และอื่นๆ นานากว่า 30 ชนิด
พิกัด Shikisai Hill
ที่อยู่ | Shinsei Dai-3, Biei, Kamikawa, Hokkaido 071-0473 |
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟสาย JR Furano Line มาลงที่สถานี Bibaushi นั่งแท็กซี่ต่ออีกประมาณ 12 นาที หรือเดินประมาณ 25 นาที |
เวลาทำการ | มกราคมถึงเมษายน 9:00-17:00 น. พฤษภาคม/ตุลาคม 8:40-17:00 น. มิถุนายนถึงกันยายน 8:40-17:30 น. พฤศจิกายนถึงธันวาคม 9:10-16:30 น. |
ราคา | 500 เยน |
Website | Shikisai Hill |
สรุป
ถึงแม้ว่าอุทยานแห่งชาติชิเรโตโกะ (Shiretoko national park) จะค่อนข้างห่างไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวจากใจกลางเกาะฮอกไกโดอยู่พอสมควร แต่ทว่าประสบการณ์ที่เพื่อน ๆ จะได้รับหากได้มาเยือนยังที่แห่งนี้ได้ทั้ง 4 ฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็น ชมทิวทัศน์กำแพงหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ล่องเรือตามแนวชายฝั่งของคาบสมุทรชิเรโตโกะ ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางอุทยาน (Shiretoko Pass) หรือล่องเรือตัดหิมะในฤดูหนาว มาฮอกไกโดทั้งทีก็ต้องมาเปิดหูเปิดตาให้สุด !