คูปองส่วนลดที่น่าสนใจ
15%
15%
10%

การวางแผนเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีจะสมบูรณ์แบบที่สุด หากรู้ช่วงเวลาที่แม่นยำของแต่ละจังหวัด โดยในปี 2025 นี้ มีพยากรณ์ดังนี้:
• ฟุกุโอกะ ( Fukuoka ): ปีนี้จะค่อนข้างเปลี่ยนสีช้า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีคือประมาณต้น – กลางเดือนธันวาคมจะมีทั้งใบเมเปิ้ลและใบแปะก๊วยให้ชมกันแบบฉ่ำๆ สิ้นสุดเมื่อกลางเดือนธันวาคม
• คุมาโมโต้(Kumamoto): ช่วงพีคที่สุดคือกลางเดือนธันวาคมสำหรับใบเมเปิ้ล ต้นเดือนธันวาคมสำหรับใบแปะก๊วย
• โออิตะ (Oita): ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือต้นเดือนธันวาคมสำหรับใบเมเปิ้ลที่เปลี่ยนสี กลางเดือนธันวาคม (ประมาณวันที่ 10 – 12 ธันวาคม ) สำหรับใบแปะก๊วย
• นางาซากิ (Nagasaki) : ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีคือ กลางธันวาคมทั้งใบเมเปิ้ลและแปะก๊วย
• มิยาซากิ ( Miyazaki ) : ช่วงที่พีคที่สุดประมาณต้นเดือนธันวาคมสำหรับดูใบแปะก๊วย และจุดพีคสำหรับใบเมิ้ลคือประมาณกลางเดือนธันวาคม
• ซากะ (Saga): ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือต้นเดือนธันวาคมสำหรับใบแปะก๊วย กลางเดือนธันวาคมสำหรับใบเมเปิ้ล
• คาโกชิม่า ( Kagoshima ): ที่นี่จะเปลี่ยนสีช้าสุดในญี่ปุ่น จุดพีคจะอยู่ในช่วงต้นเดือนธันวาคมสำหรับใบแปะก๊วย และสำหรับใบเมเปิ้ลจะอยู่ช่วงกลางเดือนธันวาคม
สังเกตได้ว่าจุดพีคของใบไม้เปลี่ยนสีของคิวชู มักจะอยู่ที่ช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งมีสาเหตุคือ ในปี 2025 นั้น ได้คาดการณ์ว่าอุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ส่งผลให้ช่วงพีคของใไม้เปลี่ยน อาจเลื่อนออกไปช้ากว่าปกติ 3-5 วัน โดยเฉพาะในจังหวัดทางเหนืออย่าง ฟุกุโอกะ และ ซากะ
นอกจากนี้ยังมีโอกาสเจอฝนมากขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจจะทำให้ใบไม้ร่วงเร็วกว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป เพราะยังมีช่วงท้ายๆของฤดู ที่สามารถชมได้อย่างสวยงาม
เพื่อไม่ให้พลาดความสวยงาม ควรวางแผน A และแผน B ดังนี้:
• แผน A: เดินทางตรงตามช่วง Peak ที่พยากรณ์ไว้ (ช่วงต้น – กลางเดือนธันวาคม)
• แผน B: หากอุณหภูมิอบอุ่นกว่าปกติจริง ให้เผื่อเวลาเดินทางช้ากว่าปกติ 3-5 วัน และค่อยหมั่นเช็คพยากรณ์เป็นระยะ
• คำแนะนำเพิ่มเติม: หากต้องการเลี่ยงนักท่องเที่ยว ควรไปในวันธรรมดา (Weekday) และเลือกจุดชมที่อยู่นอกเมืองใหญ่ เพราะจะสงบและสามารถถ่ายรูปได้สบายกว่า
หมายเหตุสำคัญ: ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นฤดูท่องเที่ยวหลัก ควรจองที่พัก (โดยเฉพาะเรียวกังที่มีออนเซ็น) และรถเช่าล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือน เนื่องจากที่พักจะเต็มเร็วมากและราคาสูงขึ้นในช่วง Peak

วัดพุทธโบราณที่ตั้งอยู่ที่เมือง Itoshima ไฮไลท์ของวัดแห่งนี้คือต้นเมเปิลยักษ์ที่มีอายุ 400 ปี ซึ่งผู้คนและนักท่องเที่ยวต่างก็อยากมาเห็นความงามที่ไร้ขีดจำกัดของเมเปิลอายุกว่า 400 ปีต้นนี้ซักครั้งหนึ่งในชีวิต
นอกจากต้นเมเปิ้ลยักษ์แล้วที่บริเวณสวนจะมีเมเปิลกว่า 200 ต้นที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสดในช่วงกลางถึงปลายพฤศจิกายน โดยเฉพาะตอนที่ใบไม้สีแดงของต้นเมเปิ้ลได้ร่วงจากต้นจำนวนมาก จะมีลักษณะคล้ายพรมสีแดงที่สวยงามตระการตาซึ่งเป็นไฮไลท์รองจากต้นเมเปิ้ลยักษ์เลยทีเดียว และภาพสะท้อนของใบเมเปิลบนสระน้ำหน้าวัดถือเป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาดด้วยเช่นกัน
• ช่วงเวลา Peak: ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2025
• วิธีเดินทาง: จากสถานีฮาคาตะ ขึ้นรถไฟสาย JR ไป Chikuzen-Maebaru Station ประมาณ 30 นาที จากนั้นแนะนำให้เช่ารถหรือใช้แท็กซี่ประมาณ 15 นาที (รถบัสท้องถิ่นมีรอบน้อย ไม่แนะนำ)
• พาสที่ใช้ได้: JR Kyushu Pass (เฉพาะถึงสถานี)
• ที่พักใกล้เคียง: โรงแรมในเมือง Itoshima หรือ โรงแรมในตัวเมืองฟุกุโอกะ

วัดนี้มีอีกฉายาว่า วัดกบ ที่มาของฉายานี้คือ จุดเด่นของวัดนี้ที่ไม่เหมือนกับที่อื่นๆก็คือรูปปั้นกบมากกว่า 1,000 ตัว ซึ่งการถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่นั้น มักจะถ่ายกบเป็นฉากหน้าแล้วมีใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามเป็นฉากหลัง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีที่ไม่เหมือนใคร และตอนกลางคืนจะมีการประดับไฟเป็นเวลา 3 วัน โดยมักจะจัดช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นระยะเวลา 3 วันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
• ช่วงเวลา Peak: ตลอดเดือนพฤศจิกายน 2025
• วิธีเดินทาง: จากสถานีฮาคาตะ ขึ้นรถไฟไป JR Chikuzen-Harada Station จากนั้นต่อรถบัสประมาณ 20 นาที
• พาสที่ใช้ได้: JR Kyushu Pass
• คาเฟ่ใกล้เคียง: มีร้านคาเฟ่เล็กๆ ที่มีวิวมองเห็นวัด เมนูแนะนำคือ ชาเขียวและมันหวานอบ

สวนสไตล์ญี่ปุ่น ที่โดดเด่นด้วยการจัดวางต้นเมเปิล และต้นมอสที่มีสีเขียว และหลังคาฟางของอาคาร ทำให้ได้บรรยากาศที่พิเศษสุดๆสำหรับการดูใบไม้เปลี่ยนสี สำหรับสวนแห่งนี้นั้นไม่ได้เปิดให้คนเข้าชมตลอดเวลา แต่จะเปิดเป็นช่วงๆ สำหรับใบไม้เปลี่ยนสีนั้นจะเปิดให้ชมเพียง 9 วันต่อปี แต่สำหรับปีนี้จะพิเศษหน่อย จะเปิดให้ชมเป็นเวลา 16 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน ซึ่งถ้าใครไปช่วงนั้นห้ามพลาด
• ช่วงเวลา Peak: 15 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน 2025
• วิธีเดินทาง: จากสถานี Kanzaki นั่งรถแท็กซี่ 15 นาที
• พาสที่ใช้ได้: Jr Kyushu Pass
• ของฝาก: ขนมมันหวานของซากะ และเซรามิกท้องถิ่น

หุบเขาธรรมชาติที่ติด 1 ใน 100 จุดชมวิวที่เกี่ยวกับน้ำ ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยมีน้ำตกและต้นเมเปิ้ลใบไม้สีแดงปกคลุมอย่างสวยงาม พลางฟังเสียงน้ำไหล อากาศสบายๆ เรียกได้ว่าหาดูจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
• ช่วงเวลา Peak: 10-15 พฤศจิกายน 2025
• วิธีเดินทาง: จากเมือง Kumamoto ขึ้นรถบัสไป Kikuchi Onsen แล้วนั่งแท็กซี่ไปลงที่หุบเขาคิคุจิ แต่แนะนำให้เช่ารถขับจะสะดวกกว่า
• แนะนำ: แวะแช่ออนเซ็นใน Kikuchi Onsen หลังเดินป่าเพื่อคลายความเมื่อยล้า

ที่ราบสูงที่มีทุ่งหญ้าสีทองและต้นเมเปิลสีแดงกระจายอยู่โดยรอบ มีบึง Rokkannonmi ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่มีใบไม้สีส้ม สีแดง สวยงามตระการตา สถานที่นี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติคิริชิมะ-คินโควัน คาบเกี่ยวระหว่างจังหวัดมิยาซากิและคาโกชิม่า นอกจากนั้นแล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินเขาระดับเบา-กลาง ได้อีกด้วย มีเส้นทางเดินหลายเส้นให้เลือก ทั้งแบบสั้น และแบบยาว นักท่องเที่ยวจะได้ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมกับเสียงนกจากธรรมชาติ ทำให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในแดนสวรรค์กันเลย
• ช่วงเวลา Peak: ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2025
• วิธีเดินทาง: แนะนำให้เช่ารถจะสะดวกที่สุด

ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเซดาร์และเมเปิล มีบรรยากาศลึกลับและสงบเงียบ ทางเดินขึ้นศาลเจ้ารายล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่เปลี่ยนสีในช่วงปลายตุลาคม จุดถ่ายรูปยอดนิยมคือประตูโทริอิสีแดงท่ามกลางใบไม้สีแดงที่ย้อมต้นไม้แถวนั้นแทบทั้งหมด เป็นภาพที่งดงาม ซึ่งเปรียบเสมือนนักท่องเที่ยวกำลังเดินอยู่ในดินแดนเทพนิยาย
• ช่วงเวลา Peak: สำหรับปีนี้นั้นอาจจะอยู่ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – กลางธันวาคม เนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่าปีก่อนๆ
• วิธีเดินทาง: จากสถานี Kagoshima – Chuo นั่งรถไฟมาลงสถานี Kirishima Jingu Station แล้วขึ้นรถบัส 10 นาที มาลง Kirishima National Park
• พาสที่ใช้ได้: JR Kyushu Pass
• กิจกรรมเสริม: ขอพรที่ศาลเจ้า และซื้อของที่ระลึก โอมามอริ (ถุงเครื่องราง)

วัดนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ต้องห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ไฮไลท์ของการดูใบไม้เปลี่ยนสีของวัดนี้ก็คือ การดูใบไม้เปลี่ยนแบบกลับหัว ( Inverted Autumn Leaves ) โดยการเอาเสื่อทาทามิออกบางส่วนแล้วนำแผ่น อะคริลิกมาวางแทนซึ่งก็จะสะท้อนภาพให้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีแบบกลับหัว ซึ่งวัดนี้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาดูใบไม้เปลี่ยนแบบกลับหัว ( Inverted Autumn Leaves ) เพียงปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น สำหรับปี 2025 จะเปิดให้เข้าชมในวันที่ 15- 24 พฤศจิกายน 2025
• ช่วงเวลา Peak: 15- 24 พฤศจิกายน 2025
• วิธีเดินทาง: จากสถานี Sasebo นั่งรถไฟมาลงสถานี Emukae-Shikamachi แล้วเดินต่ออีก 10 นาที เช่ารถหรือขึ้นรถบัสท้องถิ่น 25 นาที
• พาสที่ใช้ได้: JR Kyushu Pass ใช้ได้แค่สถานี Sasebo

ที่นี่หุบเขายาบะเคนั้น ถือว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดจุดหนึ่งของคิวชู เมื่อนักท่องเที่ยวไปถึงจะได้เห็นโขดหิน 8 ก้อน ที่มีต้นเมเปิลสีแดงล้อมรอบ ซึ่งถ้าได้ไปเห็นของจริงแล้ว คำว่าหนึ่งในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดีที่สุดของคิวชูไม่ได้เกินจริงเลย
• ช่วงเวลา Peak: กลาง – ปลายเดือนพฤศจิกายน (หรืออาจจะช้ากว่านั้น)
• วิธีเดินทาง: จากสถานี Nakatsu นั่งรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

หุบเขาที่มีลำธารไหลผ่านท่ามกลางหน้าผาหินและต้นเมเปิล บรรยากาศสงบและเย็นสบาย เหมาะกับการเดินเล่นพักผ่อน มีเส้นทางเดินป่าที่ไม่ชันมาก ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร จุดเด่นคือสะพานแขวนที่มองเห็นวิวหุบเขาแบบ 180 องศา สำหรับหุบเขาคิวซุยเคียวนั้น ถือว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เข้าสู่ช่วงพีคได้เร็วที่สุดของคิวชู แนะนำให้ชมใบไม้เปลี่ยนสีจากสะพาน Kokonoe Yume Otsuribashi นักท่องเที่ยวจะมีความรู้สึกเหมือนลอยอยู่บนอากาศขณะชมใบไม้เปลี่ยนสี
• ช่วงเวลา Peak: ปลายเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน 2025
• วิธีเดินทาง: จากสถานี Yufuin Station เช่ารถประมาณ 30 นาที
• พาสที่ใช้ได้: JR Kyushu Pass (ถึงสถานีเท่านั้น)
• คำเตือน: เส้นทางอาจลื่นในวันฝนตก ควรสวมรองเท้ากันลื่น

สวนแห่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่บึงที่สะท้อนใบไม้เปลี่ยนสีแบบกลับหัว ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย และช่วงกลางคืนจะมีการประดับไฟสร้างบรรยากาศที่โรแมนซ์ติกอีกด้วย
• ช่วงเวลา Peak: 6 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม 2025 เป็นเทศกาลใบไม้ร่วง
• วิธีเดินทาง: จากสถานี Takeo onsen นั่งรถแท็กซี่ 5 นาที• ค่าเข้าชม: 600 เยน สำหรับกลางวันหรือกลางคืน
900 เยน สำหรับทั้งกลางวันและกลางคืน

พาสนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางด้วยรถไฟและครอบคลุมพื้นที่กว้าง รองรับรถไฟเกือบทุกสายในคิวชู รวมถึงรถไฟด่วนพิเศษ (Limited Express) ที่ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
• ราคาโดยประมาณ: 3 วัน: 21,000 เยน / 5 วัน: 23,000 เยน / 7 วัน 25,000 เยน (สำหรับผู้ใหญ่ที่ซื้อนอกประเทศ / ราคาอาจเปลี่ยนแปลง
• ครอบคลุมเส้นทาง: ทั่วคิวชู
• ข้อจำกัดสำคัญ: ไม่ครอบคลุมรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) ที่วิ่งระหว่าง Hakata และ Kokura (ต้องซื้อตั๋วแยก หากต้องการใช้เส้นทางนี้)
• ซื้อได้ที่: ออนไลน์ผ่าน JR Kyushu หรือที่สถานีรถไฟใหญ่ หรือเอเจนซี่ต่างๆเช่น HIS หรือ Klook
• ข้อดี: สะดวก รวดเร็ว และสามารถจองที่นั่งล่วงหน้าได้
เส้นทางยอดนิยมที่ครอบคลุมจุดชมหลักๆ ใช้เวลา 5-7 วัน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความสนใจ
• วันที่ 1: ฟุกุโอกะ (วัดนิโอรินจิ, ย่านเทนจิน)
• วันที่ 2: ซากะ (สวนคุเน็นอัน) → ค้างที่ซากะซักคืน
• วันที่ 3: ซากะ → สวนมิฟุเนะยามะ ราคุเอน
• วันที่ 4: คาโกชิม่า (ศาลเจ้าคิริชิมะ, เอบิโนะโคเก็ง)
• วันที่ 5: คุมาโมโต้ (หุบเขาคิคุจิ, ปราสาทคุมาโมโต้)
• แนะนำ: ใช้ JR Kyushu Pass 5 วัน สำรองที่นั่งล่วงหน้า และเช็คเวลารถไฟให้ดี

Day 1: ฟุกุโอกะ – วัดนิโอรินจิ
เดินทางถึงสนามบินฟุกุโอกะ รับ JR Kyushu Pass ที่สถานี Hakata ชมวัดนิโอรินจิ ถ่ายรูปภาพใบเมเปิลกับรูปปั้นกบที่สวยงาม กลับเมืองฟุกุโอกะ เดินเล่นย่านเทนจิน ช้อปปิ้งและชิมของกินท้องถิ่น สำหรับอาหารแนะนำให้ลอง Hakata Ramen แนะนำให้พักใกล้ๆสถานี Hakata เช่น Hakata Green Hotel หรือ Duke Hotel
Day 2: ซากะ – สวนคุเน็นอัน
ขึ้นรถไฟไปซากะ (30 นาที) ชมสวนคุเน็นอัน ถ่ายรูปกับใบเมเปิลแดง จากนั้นเช็คอินที่พักในซากะ (แนะนำ Takeo Onsen ) แช่ออนเซ็นเพื่อผ่อนคลาย
Day 3: ซากะ → สวนมิฟุเนะยามะ ราคุเอน
ตื่นเช้ามาเดินทางไปสวนสวนมิฟุเนะยามะ ราคุเอน ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีสะท้อนกลางน้ำที่สวยงาม จากนั้นเดินทางไปคาโกชิม่า ต้องไปที่สถานี Kagoshima – Chuo เข้าพักที่คาโกชิม่า แนะนำให้พักที่โรงแรม JR Kyushu ภายในสถานี Kagoshima – Chuo
Day 4: คาโกชิม่า (ศาลเจ้าคิริชิมะ, เอบิโนะโคเก็ง)
จากสถานี Kagoshima – Chuo นั่งรถไฟมาลงสถานี Kirishima Jingu Station แล้วขึ้นรถบัส 10 นาที มาลง Kirishima National Park เพื่อไปศาลเจ้าคิริชิมะ แต่แนะนำให้เช่ารถจะสะดวกในการเที่ยวทั้ง 2 ที่ จากนั้นเดินทางไปยัง เอบิโนะโคเก็ง แล้วกลับที่พักในช่วงเย็น มาถึงคาโกชิม่าแนะนำให้ลองเมนูหมูคุโรบูตะ
Day 5: คุมาโมโต้ (หุบเขาคิคุจิ, ปราสาทคุมาโมโต้)
ตอนเช้าเดินทางกลับ Fukuoka โดยชินคันเซ็น ระหว่างทางแวะเที่ยว Kumamoto ให้นั่งรถบัสไปหุบเขาคิคุจิ หากมีเวลาเหลือแนะนำให้ไปเที่ยวปราสาท Kumamoto
หมายเหตุนักท่องเที่ยวสามารถปรับแพลนได้ตามความเหมาะสมและสไตล์การเที่ยวของแต่ละคน

ช่วงเวลาทอง (เช้า / เย็น / Light Up)
แสงธรรมชาติมีผลอย่างมากต่อความสวยงามของภาพถ่าย โดยเฉพาะใบไม้เปลี่ยนสีที่ต้องการแสงที่อ่อนนุ่มเพื่อเน้นสีสันที่สดใส
• Golden Hour เช้า: 6.00-8.00 น. แสงอ่อนนุ่ม สีสันสดใส และคนไม่เยอะ หากสถานที่ท่องเที่ยวมีบึงที่สะท้อนภาพใบไม้เปลี่ยนสีได้ จะสวยงามมกา
• Golden Hour เย็น: 16.00-17.30 น. แสงแดดช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เหมาะกับภาพบรรยากาศโรแมนติก
• Light Up กลางคืน: สถานที่เช่น สวนคุเน็นอัน และ สวนมิฟุเนะยามะ ราคุเอน มีการเปิดไฟ 18.00-21.00 น. เหมาะกับภาพแนวดรามาติก

การเลือกเลนส์และมุมถ่ายที่เหมาะสมจะช่วยให้ภาพมีมิติและดึงดูดสายตามากขึ้น
• เลนส์ 24-70 mm: เหมาะกับภาพทิวทัศน์กว้าง และภาพระยะใกล้
• เลนส์ 70-200 mm: เหมาะกับการซูมเข้าไปถ่ายใบไม้ใกล้ๆ ทำให้ได้ภาพที่คมชัดและมีพื้นหลังเบลอสวย (Bokeh)
• จุดยืนที่ควรลอง: ถ่ายจากมุมสูง (เพื่อเห็นภาพรวม), มุมต่ำ (เพื่อเน้นใบไม้ด้านหน้า), และมุมข้าง (เพื่อเน้นความลึกของภาพ)
• เทคนิค: ใช้ Rule of Thirds (แบ่งภาพเป็น 9 ส่วน) วางวัตถุหลักให้อยู่บนเส้นหรือจุดตัด เพื่อให้ภาพดูสมดุล เพื่อนสามารถศึกษาการถ่ายรูปวิธีนี้ได้จากที่นี่ https://digital-photography-school.com/rule-of-thirds/

ฤดูใบไม้ร่วงในคิวชูไม่เพียงแต่สวยงามด้วยสีสันของธรรมชาติ แต่ยังเป็นช่วงที่อาหารตามฤดูกาลออกมาอร่อยที่สุด
• มันหวานญี่ปุ่น (Satsumaimo): มันหวานอบ ไอศกรีมรสมันหวาน หรือมันทอด หวานหอมนุ่ม โดยเฉพาะของจังหวัด Kagoshima
• เกาลัดญี่ปุ่น (Kuri): เกาลัดย่างหอมกรุ่น หรือขนมเกาลัด (มอนต์บลังค์) หรือข้าวอบเกาลัด
• ปลาซันมะ (Sanma): ปลาย่างเกลือที่มีรสชาติเข้มข้น เสิร์ฟกับไดคงโรส และอาจจะมีการนำไข่ปลาเมนไทโกมายัดไส้ด้วย
• เห็ดชิตาเกะ: เห็ดชิตาเกะ ถ้าหากเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะความหอมละมุนเป็นพิเศษ จังหวัดที่นิยมปลูกเห็ดชนิดนี้คือ จังหวัด Oita
• ชาเขียวร้อน (Matcha): เข้มข้น หอมกรุ่น เสิร์ฟพร้อมวากาชิตามฤดูกาล โดยเฉพาะชาจากเมือง ยาเมะในจังหวัด Fukuoka

แต่ละจังหวัดในคิวชูมีของฝากเฉพาะถิ่นที่น่าซื้อกลับไปฝาก
• ฟุกุโอกะ: ขนมเม็นไทโกะ (Mentaiko) และ ฮาคาตะโทริมอน (ขนมทาร์ตเนย)
• ซากะ: เซรามิกอิมาริ และ ชาอุเระชิโนะ
• คุมาโมโต้: ตุ๊กตามาสคอตคุมามง
• โออิตะ: ขนม Xavier , ขนมเซนเบ้ Toriten
• คาโกชิม่า: มันหวาน

เรียวกัง พร้อม ออนเซ็น วิวภูเขา
สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่ เรียวกังแบบดั้งเดิมพร้อมออนเซ็นจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
• Yufuin Sansuikan (Yufuin, โออิตะ): เรียวกังหรูพร้อมห้องออนเซ็นส่วนตัว วิวภูเขาสวยงาม ราคาเริ่ม 18,000 เยน/คืน
• Kurokawa Onsen Ryokan (คุมาโมโต้): หมู่บ้านออนเซ็นบรรยากาศสงบ เหมาะกับคู่รัก ราคาเริ่ม 12,000 เยน/คืน
โรงแรมในเมือง เดินทางง่าย
สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและเดินทางง่าย โรงแรมในเมืองใหญ่เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า
• Hakata Green Hotel (Hakata, ฟุกุโอกะ): ใกล้สถานีฮาคาตะ 5 นาที สะดวกสบาย ราคาเริ่ม 8,000 เยน/คืน
• Kumamoto Castle Hotel (Kumamoto, คุมาโมโต้): วิวปราสาทคุมาโมโต้ ใกล้จุดท่องเที่ยว ราคาเริ่ม 10,000 เยน/คืน
• Jr Kyushu Hotel (Kagoshima, คาโกชิม่า): โรงแรมหรูตั้งอยู่ในสถานีรถไฟ Kagoshima – Chuo สะดวกมากๆ ราคาเริ่ม 10,000 เยน/คืน

แม้วันฝนตก ยังมีกิจกรรมในร่มที่น่าสนใจมากมายในคิวชู
• Fukuoka Art Museum (ฟุกุโอกะ): พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยและโบราณ ค่าเข้าชม 200 เยน
• Kumamoto Prefectural Museum of Art: พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงงานศิลปะของคิวชู เหมาะกับผู้รักศิลปะ ค่าเข้าชม 430 เยน
• ปราสาท Kumamoto: ปราสาทที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินชมด้านในที่จัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ให้นั่งท่องเที่ยวได้ดูกัน
• Tenjin Underground Shopping (ฟุกุโอกะ): ห้างใต้ดินขนาดใหญ่ มีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านค้าหลากหลาย
• Yufuin No Mori Train (โออิตะ): นั่งรถไฟชมวิวท่ามกลางฝน บรรยากาศโรแมนติก
• Fukuoka Tower: ชมวิวเมือง Fukuoka แบบพาโนราม่า ที่หาดูจากที่ไหนไม่ได้
หากมาถึงและพบว่าใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีเต็มที่ หรือเปลี่ยนสีช้ากว่าที่คาด ยังมีทางเลือกอื่นๆ
• ปรับเส้นทาง: เดินทางไปยังจังหวัดที่ใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่า แนะนำให้ดูพยากรณ์บ่อยๆ
• ชมใบไม้เปลี่ยนสีบนภูเขา: พื้นที่สูงเช่น เอบิโนะโคเก็ง หรือ ภูเขาคิริชิมะ จะเปลี่ยนสีเร็วกว่าพื้นที่ราบ
• Light Up กลางคืน: สถานที่ที่จัด Light Up เช่น สวนคุเน็นอันจะช่วยเสริมบรรยากาศให้สวยงามแม้ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีเต็มที่
• เพิ่มกิจกรรมอื่น: เช่น การแช่ออนเซ็น ชิมอาหารท้องถิ่น หรือเที่ยวชมวัฒนธรรม

การชมใบไม้เปลี่ยนสีในคิวชู ปี 2025 ไม่เพียงแต่จะได้ชมความงามของใบไม้สีแดง ส้ม และทองทั่วภูเขาและวัดโบราณ แต่ยังได้สัมผัณวัฒนธรรมท้องถิ่น อาหารตามฤดูกาลโดยเฉพาะอาหารในฤดูใบไม้ร่วง และความสงบของเมืองรองที่ไม่พลุกพล่านเหมือนโตเกียวหรือโอซาก้า
สิ่งที่ทำให้คิวชูพิเศษคือบรรยากาศที่อบอุ่น อุณหภูมิไม่หนาวจัด และการเดินทางที่สะดวกด้วย JR Kyushu Pass คุณสามารถวางแผนทริป 5-7 วัน เพื่อชมจุดชมหลักทั้งหมดใน 7 จังหวัด และพักผ่อนในเรียวกังพร้อมออนเซ็นวิวภูเขา
จุดเด่นของทริปนี้:
• ชมใบไม้เปลี่ยนสีจาก 10 จุดยอดนิยม ตั้งแต่วัดโบราณไปจนถึงหุบเขาธรรมชาติ
• พยากรณ์ช่วงเวลาเพื่อไม่พลาดความสวยงามในช่วง Peak
• ตัวอย่างแผนเที่ยว 5 วัน พร้อมคำแนะนำการเดินทาง
• เคล็ดลับการถ่ายภาพ เพื่อเก็บภาพสวยๆ กลับบ้าน
• อาหารตามฤดูกาล
• ที่พักที่แนะนำ
ลิงก์ที่เป็นประโยชน์:
• JR Kyushu Pass: https://www.jrkyushu.co.jp/english/
• JNTO Forecast Update: https://www.japan.travel/en/
เคล็ดลับสุดท้าย: อย่าลืมจองที่พักและรถเช่าล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือน เนื่องจากช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเป็นฤดูท่องเที่ยวหลักของคิวชู ที่พักจะเต็มเร็วมากและราคาสูงขึ้นในช่วง Peak
พร้อมแล้วหรือยังสำหรับการผจญภัยไปกับสีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วงในคิวชู? จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก เตรียมกล้อง และเริ่มต้นทริปที่จะทำให้ประทับใจไปอีกนาน อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ ที่กำลังวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นด้วย!
สนุกกับการเดินทาง และขอให้มีความสุขกับสีสันแห่งฤดูใบไม้เปลี่ยนสีใน คิวชู 2025!

Blogger : Kitslaughter666
ผมชื่อ กิด เป็นคนที่สนใจประเทศญี่ปุ่นเป็นพิเศษโดยเฉพาะประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และชอบทานราเมง กับ ปลาปักเป้า เป็นชีวิตจิตใจ รักการถ่ายเซลฟี่กับกวางที่เกาะมิยาจิม่า ชอบภูมิภาคชูโกกุ ชอบเที่ยวสถานที่Unseenของญี่ปุ่น
112 Posts

เที่ยวญี่ปุ่น เมืองไหนดี แนะนำ 10 เมืองเด็ด ความน่าสนใจ ที่ต้องไปเยือน
เที่ยวญี่ปุ่น เมืองไหนดี แนะนำ 10 เมืองเด็ดน่าเที่ยว ที่มีความโดดเด่นน่าสนใจ ท...

สนุกกับการเที่ยวรอบเมืองฟุกุโอกะให้เต็มที่ ด้วยบัตรโดยสาร “Fukuoka City 1-Day Pass” ที่ทั้งคุ้มและสะดวก!
บัตร Fukuoka City 1-Day Pass ช่วยให้คุณสามารถนั่งรถบัสของ Nishitetsu ภายในเมือ...

รีวิวที่พักฟุกุโอกะ Cross Life Hakata Yanagibashi และ Cross Life Hakata Tenjin
รีวิว Cross Life Hakata Yanagibashi Hotel และ Cross Life Hakata Tenjin มีสิ่งอ...

อยากเที่ยวคิวชูให้คุ้ม ต้องรู้จัก! SUNQ Pass กับ 4 ข้อดีที่คุณไม่ควรพลาด
ไปคิวชูทั้งที เที่ยวยังไงให้คุ้มที่สุด? คำตอบคือ... SUNQ Pass! บัตรเดียวขึ้นรถ...

ไปคิวชูทั้งที ต้องไม่พลาด SUNQ Pass! พาเที่ยวทั่วเกาะ คุ้ม ครบ จบในใบเดียว
SUNQ Pass คือบัตรโดยสารสุดคุ้มที่ให้คุณขึ้นรถบัสได้ไม่จำกัด ทั้งรถบัสด่วนและรถ...
Police
110
Ambulance
119
AMDA International Medical Information Center
03-6233-9266
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว
090-4435-7812
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า
090-1895-0987
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟุกุโอกะ
090-2585-3027 หรือ 090-9572-1515