1. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago)
ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านอนุรักษ์เก่าแก่อายุกว่า 250 ปี ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ในปี 1995 ให้เป็นเมืองมรดกโลกญี่ปุ่น หมู่บ้านตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาในจังหวัดกิฟุ มีลักษณะเป็นบ้านไม้ญี่ปุ่นแบบโบราณที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างมาจากธรรมชาติล้วนๆ มีเอกลักษณ์คือหลังคาทรงพนมมือ
มุงด้วยฟางข้าว เรียกว่า Gassho-zukuri (กัสโชซุคุริ)
บ้านเรือนกระจายตัวขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ ภายในหมู่บ้านที่ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ประกอบด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ศาลเจ้า วัด พิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก โฮมสเตย์ และออนเซ็น
สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ทั้งปี ซึ่งแต่ละฤดูก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว ที่จะมีการแสดงไฟช่วงกลางคืนหรือที่เรียกว่า“Shirakawago Light Up” รวมไปถึงเสน่ห์และความงดงามที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาดูได้ที่นี่เท่านั้น อีกทั้งภายในหมู่บ้านยังมีจุดน่าแวะอีกหลายที่เลย ใครมาโซนจังหวัดกิฟุ อย่าลืมเก็บดินแดนแห่งความฝันอย่างหมู่บ้านชิราคาวาโกะนี้ไว้ในแพลนกันด้วยนะ รับรองว่าประทับใจจนอยากกลับไปอีกในทุกๆ ฤดูอย่างแน่นอน
หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago)
ที่อยู่ | 2499 Ogi, Shirakawa, Ono, Gifu 501-5627 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากนาโกย่า (Nagoya) ให้นั่งรถไฟเข้าเมืองทาคายาม่า (Takayama) แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center ไปที่หมู่บ้านอีกประมาณ 50 นาที |
เวลาทำการ | มีนาคม-พฤศจิกายน 08.40 – 17.00 น. / ธันวาคม-กุมภาพันธ์ 09.00 – 16.00 น. เมษายน – พฤศจิกายน (เปิดทุกวัน) / ธันวาคม – มีนาคม (ปิดทุกวันพฤหัสบดี) |
ราคา | ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็ก 400 เยน |
Website | Shirakawago (ภาษาอังกฤษ) |
2. ไร่ชา Nihondaira
หากพูดถึงไร่ชา ต้องยกให้จังหวัดชิซุโอกะ เนื่องจากมีพื้นที่ไร่ชาเขียวที่มีการเก็บและส่งออกชาเชียวมากที่สุด
ในญี่ปุ่น อีกทั้งชาของที่นี่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ สำหรับไฮไลท์เด็ดของที่นี่ก็คือเป็นไร่ชาที่ปลูกชามากถึง 8 ชนิด ซึ่งทางไร่ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเรียนรู้วิธีเก็บใบชาอย่างใกล้ชิดในช่วงกลางเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนตุลาคม
และนอกจากความสวยงามของไร่ชาสีเขียวชอุ่มที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เรายังจะได้ชื่นชมกับวิวภูเขาไฟฟูจิสีฟ้าขาวตัดกับสีเขียวของไร่ชา กลายเป็นภาพแห่งความสวยงามที่สร้างสรรค์โดยจิตกรแห่งธรรมชาติจนได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 จุดชมวิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น อีกทั้งยังสามารถซื้อใบชาที่ผ่านกรรมวิธีอบแห้งกลับบ้านเป็นที่ระลึก โดยจ่ายเงินเพียง 1,300 เยน เราก็จะได้รับกระป๋องบรรจุชามา 1 ใบให้ตักชาใส่ได้ตามใจ
ไร่ชา Nihondaira
ที่อยู่ | 4046-1 Muramatsu, Shimizu, Shizuoka 424-0926 |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟ JR สาย Tokaido มาลงสถานี Shizuoka แล้วนั่งรถเมล์สาย 42 จากป้าย 11 หน้าสถานีรถไฟมาลงที่ป้ายรถบัสป้ายสุดท้าย Nihondaira Ropeway แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 15-20 นาที |
เวลาทำการ | 09.00 – 15.00 น. |
ราคา | 600 เยน/คน |
Website | Nihondaira (ภาษาญี่ปุ่น) |
3. สะพานแขวนแห่งความฝัน (Yume no Tsuribashi)
สะพานแขวนยูเมะ โนะ สึริบาชิ (Yume no Tsuribashi) หรือ สะพานแห่งความฝัน ตั้งอยู่ในหุบเขาสุมาตะเคียว (Sumatakyou) จังหวัดชิซุโอกะ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว unseen ของญี่ปุ่น ที่นอกจากจะได้ชมธรรมชาติ
อันสมบูรณ์แล้ว ยังได้ตื่นเต้นกับการผจญภัยในป่า สะพานนี้ยาว 90 เมตร สูง 8 เมตร พาดผ่านภูมิทัศน์อันงดงาม
ทั้งท้องฟ้าสีสวยและน้ำสีใส เรียกว่าเป็นพิกัดธรรมชาติที่น่าไปเที่ยวชมอย่างยิ่ง
ว่ากันว่า…ความรักและความปรารถนาจะเป็นจริงหากได้มาอธิษฐานกลางสะพาน เพียงเดินไปตรงกลางสะพานแล้วอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ความรักที่หวังไว้ก็จะสมดังคำขอ มีคนขอแล้วสมหวังไม่น้อย จนกลายเป็นไฮไลท์ของ
ที่นี่เลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่ยังสวยงามต่างกันออกไปในแต่ละฤดูกาลอีกด้วย
สะพานแขวนแห่งความฝัน (Yume no Tsuribashi)
ที่อยู่ | Kawanehon, Haibara, Shizuoka 428-0402 |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟสาย Oigawa Railway มาลงที่สถานี Senzu จากนั้นต่อด้วยนั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Sumata-kyo Onsen ใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 30 นาที เพื่อไปยังจุดข้ามสะพาน |
เวลาทำการ | เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 8:00 – 18:00 น. **เพื่อความปลอดภัยควรกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดิน |
Website | Yume no Tsuribashi (ภาษาอังกฤษ) |
4. Lake Hyoko Swan
Cr : Lake Hyoko Swanทะเลสาบเฮียวโกะ (Hyoko) ตั้งอยู่ในเมือง Agano จังหวัดนีกาตะ ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งในช่วง
ฤดูหนาวของทุกปีจะมีนกอพยพจากไซบีเรียบินมาที่ทะเลสาบแห่งนี้มากมาย ที่นี่จึงมีนกหลากหลายสายพันธุ์
ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกันแบบใกล้ชิด โดยเฉพาะหงส์ ในทุกปีจะมีหงส์ราว 5,000 ตัวบินมาอวดความงาม
ที่ทะเลสาบแห่งนี้ จึงทำให้ที่นี่โด่งดังในฐานะจุดชมหงส์ที่สวยงาม
Cr : Lake Hyoko Swan
Cr : Lake Hyoko Swan
พบกับคุณลุงที่คอยมาให้อาหารหงส์ได้ทุกวัน วันละ 3 เวลา คือ 9 โมง 11 โมง และ 3 โมงเย็น ลุงจะเดินโปรยอาหารจากบนสะพานไปเรื่อยๆ พร้อมกับร้องเรียกนกและฝูงหงส์ เรียกได้ว่าเป็นภาพความประทับใจที่หาไม่ได้ง่ายๆ คุณลุงหงส์บอกว่าตนจำได้ว่าหงส์ตัวไหนเคยมาเมื่อปีที่แล้วโดยดูจากจงอยปากและเท้าของมัน ใครอยากชื่นชมทะเลสาบสวยงามที่มีหงส์บินโฉบไปมา บอกเลยว่าที่นี่ตอบโจทย์สุดๆ
Lake Hyoko Swan
ที่อยู่ | 314-19 Suwon, Agano, Niigata 959-2013 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Niigata จากนั้นขึ้นรถไฟ JR Shin-etsu Main Line มาลงที่สถานี Niitsu จากนั้นให้เปลี่ยนมาขึ้นรถไฟสาย JR Uetsu Main Line มาลงที่สถานี Suibara ต่อด้วยนั่งแท็กซี่ไป Lake Hyoko Swan ประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | เดือนตุลาคม – มีนาคม ตลอด 24 ชม. |
Website | Lake Hyoko Swan (ภาษาญี่ปุ่น) |
5. สวนลิงจิโกกุดานิ (Jigokudani Monkey Park)
สวนลิงจิโกคุดานิ (Jigokudake Yaenkoen) ตั้งอยู่ในจังหวัดนากาโนะ สถานที่หนึ่งเดียวในโลกที่จะได้เห็นลิงญี่ปุ่นแช่ออนเซ็นกันอย่างใกล้ชิด โดยลิงญี่ปุ่นเหล่านี้เป็นลิงป่าทั้งหมด มีอยู่ประมาณ 160 ตัว ในตอนกลางคืน
ฝูงลิงจะเข้าไปนอนในป่า และในตอนกลางวันก็จะกลับมาเผยโฉมคอยเป็นนายแบบนางแบบให้นักท่องเที่ยว
มาถ่ายรูป
ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น น้องลิงจึงขนพองฟู ทำให้ดูตัวอ้วนกลม แต่เคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว เพลิดเพลินไปกับน้องลิงในอิริยาบถต่างๆ พร้อมกับเรียนรู้วิถีชีวิตตามธรรมชาติ ลิงก็น่ารัก ทิวทัศน์ก็สวยงาม มาเที่ยวนากาโนะทั้งที อย่าลืมแวะมาชมลิงหิมะแช่ออนเซ็นกันได้ที่นี่นะ
สวนลิงจิโกกุดานิ (Jigokudani Monkey Park)
ที่อยู่ | 6845 Yamanouchi, Shimotakai, Nagano 381-0401 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี JR Nagano นั่งรถไฟสาย Nagaden Nagano เลือกรถไฟแบบ Limited Express ชื่อขบวน Snow Monkey เพื่อมาลงสถานี Yudanaka จากนั้นนั่งรถบัส ที่หน้าสถานีไปลงป้าย Kanbayashi Onsen หรือป้าย Kanbayashi Onsen-guchi แล้วเดินต่อเข้าไปตามป้ายอีกประมาณ 1.6 กิโลเมตร |
เวลาทำการ | ฤดูร้อน (ประมาณเดือนเมษายน – ตุลาคม) เปิด 8.30 – 17.00 น. ฤดูหนาว (ประมาณเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม) เปิด 9.00 – 16.00 น. |
ราคา | แบบรายบุคคล : ผู้ใหญ่ (18 ปีขึ้นไป) 800 เยน นักเรียนประถมถึงมัธยมปลาย 400 เยน แบบกลุ่ม (20 คนขึ้นไป) : ผู้ใหญ่ 680 เยน นักเรียนประถมถึงมัธยมปลาย 340 เยน บัตรรายปี : ผู้ใหญ่ 5,000 เยน นักเรียนประถมถึงมัธยมปลาย 2,500 เยน |
Website | Jigokudani Monkey Park (ภาษาอังกฤษ) |
6. สวนดอกไม้นาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato)
สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ ตั้งอยู่ในเมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ หนึ่งในสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีพื้นที่กว้างถึง 300,000 ตารางเมตร ไม่ว่าจะมาฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูไหนก็จะได้พบกับความงดงามของดอกไม้นานาพันธุ์มากกว่า 40 สายพันธุ์ มีทั้งซากุระ ทิวลิป คอสมอส กุหลาบ ไฮเดรนเยีย และอีกมากมาย ที่พากัน
ผลิดอกชูช่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะแยะ ถูกใจสายถ่ายรูปอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ที่นี่จะมีการจัดงานประดับไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ในบรรยากาศ
สุดโรแมนติก ซึ่งรวมถึงอุโมงค์ประดับไฟกว่า 200 เมตร ที่เปรียบเสมือนเป็นอุโมงค์ดวงดาวแห่งทางช้างเผือก
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแสงไฟระยิบระยับประดับตามที่ต่างๆ อย่างสวยงามและหาดูได้เฉพาะที่นี่
ที่เดียวเท่านั้น
สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวชมธรรมชาติและความสวยงามของสวนดอกไม้แห่งนี้ ขอแนะนำให้มาในช่วงปลายปี เพราะจะได้อิ่มเอมไปกับงานประดับไฟกันอย่างจุใจ และยังสามารถเดินชมในโซนอื่นๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น
ออนเซ็น จุดชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศา คาเฟ่ในสวน และร้านอาหารบรรยากาศดี
สวนดอกไม้นาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato)
ที่อยู่ | 270 Komae Urushihata, Nagashima, Kuwana, Mie 511-1144 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Nagoya ให้นั่งรถบัส Meitetsu Bus จากท่ารถ Meitetsu Bus Center (อยู่ใกล้กับสถานี Nagoya) มาลงที่ป้าย Nabana No Sato ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที |
เวลาทำการ | 10.00 – 21.00 น. หรือ 10.00 – 22.00 น. (เวลาจะแตกต่างไปตามฤดูกาลในแต่ละปี) |
ราคา | ค่าเข้าชมแตกต่างไปตามฤดูกาล ช่วงฤดูใบไม้ผลิ – ใบไม้ร่วง : 1,600 เยน ฤดูหนาว (ช่วงประดับไฟ) : 2,300 เยน (*จะได้คูปอง 1,000 เยน สำหรับนำไปใชแทนเงินสดในร้านต่างๆ ภายในงาน) |
Website | Nabana no Sato (ภาษาญี่ปุ่น) |
7. กำเเพงน้ำเเข็ง (Tateyama Kurobe Alpine Route)
Tateyama Kurobe Alpine Route เส้นทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดโทยามะและจังหวัด
นากาโนะ พาดผ่านวิวทิวทัศน์สลับซับซ้อนของเทือกเขาแอลป์ หรือที่นิยมเรียกกันติดปาว่า เจแปนแอลป์ จุดที่
สูงที่สุดของเจแปนแอลป์คือ ยอดเขาทาเตยามะ สูง 3,015 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 2 รองจาก
ภูเขาไฟฟูจิ
จุดที่สูงที่สุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปได้อยู่ที่บริเวณ Murodo ที่มีความสูง 2,450 เมตร จุดนี้จะมี
“Yuki no Otani” หรือ กำแพงหิมะ ตั้งตระหง่านคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเป็นระยะทางเกือบ
1 กิโลเมตร สามารถชื่นชมความงามผ่านกระจกรถบัสของอุทยาน หรือจะก้าวลงมาสัมผัสแบบใกล้ชิดติดขอบ
กำแพงก็ได้เช่นกัน
โดยปกติแล้วกำแพงหิมะแห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมประมาณกลางเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี หลังจากเดือนมิถุนายนไปแล้ว กำแพงหิมะก็จะค่อยๆ ลดระดับความสูงลง แต่ยังมีให้เห็นไปจนถึงกรกฏาคม – สิงหาคม
กำเเพงน้ำเเข็ง (Tateyama Kurobe Alpine Route)
ที่อยู่ | Tateyama, Nakaniikawa, Toyama 930-1406 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Tokyo ขึ้นรถไฟ Hokuriku Shinkansen มาลงที่สถานี Toyama ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นต่อรถไฟ Toyama Chihou Railway มาลงที่สถานี Tateyama ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง |
เวลาทำการ | 09.30 – 15.15 น. (เข้าชมรอบสุดท้าย 15.00 น.) **ช่วงเวลาที่ให้บริการบนเส้นทาง Tateyama-Kurobe Alpine Route อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ขอเเนะนำให้เช็คช่วงเวลาที่เเน่นอนที่เว็บไซต์ทางการก่อนการเดินทาง |
Website | Tateyama Kurobe Alpine Route (ภาษาอังกฤษ) |
8. นาข้าวขั้นบันได Shiroyone Senmaida
Shiroyone Senmaida คือพื้นที่นาข้าวขั้นบันไดในเขตเมืองเมืองวะจิมะ (Wajima) จังหวัดอิชิกะวะ หรือบริเวณคาบสมุทรโนโตะ โดยบริเวณพื้นที่แห่งนี้จะมีนาข้าวแปลงเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร มากกว่า 1,000 แปลง ตั้งเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามแนวเชิงเขาไล่ลงไปจนถึงริมทะเลญี่ปุ่น
ไฮไลท์เด็ดของที่นี่จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม หรือเรียกว่าช่วง Aze no Kirameki ซึ่งจะมีการนำหลอดไฟ LED มากกว่า 21,000 หลอดมาประดับตกแต่งไปทั่วบริเวณผืนนาข้าวแห่งนี้ ในยามค่ำคืน แสงไฟสีชมพูและสีทองก็จะสว่างขึ้น และสลับเปลี่ยนสีในทุกๆ 30 นาที เป็นภาพที่สวยงามแบบที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
ถึงแม้ว่าจะพลาดโอกาสในช่วงนี้ไป ก็ยังสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ตลอดทั้งปี เพราะนาข้าวขั้นบันไดแห่งนี้มีอากาศบริสุทธิ์และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามให้นักท่องเที่ยวได้แวะมาชมกันอยู่เสมอ
นาข้าวขั้นบันได Shiroyone Senmaida
ที่อยู่ | 99-5 Shiroyone, Wajima, Ishikawa 928-0256 |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟสาย JR West Nanao Line มาลงที่สถานี JR Wajima แล้วต่อด้วยนั่งรถบัส Hokutetsu Okunoto สาย Machino-sen ลงที่ป้าย Shiroyone Bus Stop จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | ตลอด 24 ชั่วโมง |
Website | Shiroyone Senmaida (ภาษาอังกฤษ) |
9. โอเอซิส 21 (Oasis 21)
โอเอซิส 21 แลนด์มาร์กยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นของนาโกย่า มีความโดดเด่นตรงสถาปัตยกรรมรูปทรงวงรีที่ใช้วัสดุหลักเป็นกระจก มีลักษณะคล้ายยาวอวกาศที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน พื้นที่ตรงกลางมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่ช่วยปรับลดอุณหภูมิพื้นที่ส่วนอื่นของอาคารและช่วยประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี
พื้นที่ด้านบนซึ่งเป็นลานกระจกลอยฟ้าแบบเปิดโล่งเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเดินเล่น ด้วยความสูงจากพื้นดิน
ถึง 14 เมตร จึงมองเห็นหอคอยนาโกย่าและทัศนียภาพสวยๆ ได้อย่างชัดเจน นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่ง
ของเมือง
ในส่วนด้านล่างของอาคารมีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรม ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาแสดงความสามารถต่างๆ
ตลอดทั้งวัน ชั้นใต้ดินมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ที่ครอบคลุมมากที่สุดจุดหนึ่งของเมือง
ในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟหลากสีสัน ทำให้สถาปัตยกรรมรูปยานอวกาศแห่งนี้ดูสวยงามแปลกตา และเต็มไปด้วยบรรยากาศสุดโรแมนติก สร้างมนต์สะกดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและหามุมถ่ายรูปกันจนลืมเวลา
โอเอซิส 21 (Oasis 21)
ที่อยู่ | 1-11-1, Higashisakura, Higashi, Nagoya, Aichi 461-0005 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Nagoya นั่งรถไฟสาย Higashiyama มาลงที่สถานี Sakae ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยตัวสถานีจะอยู่บริเวณเดียวกับศูนย์การค้า โอเอซิส 21 |
เวลาทำการ | ยานอวกาศน้ำ 10.00 – 21.00 น. ร้านค้า 10.00 – 21.00 น. ร้านอาหาร 10.00 – 22.00 น. ร้านบริการต่างๆ 10.00 – 20.00 น. |
Website | Oasis 21 (ภาษาอังกฤษ) |
10. สวนสนุกเลโก้แลนด์ เจแปน (Legoland® Japan)
สวนสนุกเลโก้แลนด์ เจแปน ตั้งอยู่ที่เมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2017 บนพื้นที่กว่า 93,000 ตารางเมตร ริมท่าเรือมินาโตะ เป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่แสดงถึงความนิยมจากของเล่นระดับโลกที่ใครๆ
ก็รู้จักอย่างตัวต่อเลโก้ สวนสนุกแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากบริษัทผู้ผลิตเลโก้โดยตรง จึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพ
และความสนุกสนานที่เนรมิตให้อยู่ในธีมปาร์คเลโก้แบบทุกตารางนิ้ว
สวนสนุกแห่งนี้สร้างโดยใช้ชิ้นส่วน LEGO กว่า 17 ล้านชิ้น พร้อมกับหุ่นเลโก้ขนาดใหญ่ที่สร้างไม่ซ้ำกันกว่า 10,000 แบบ มีเครื่องเล่นและสิ่งที่น่าสนใจกว่า 40 จุด ที่จะคอยสร้างความตื่นเต้น ความสนุกสนาน และรอยยิ้ม
ให้ทั้งคุณและครอบครัว
สวนสนุกแบ่งออกเป็น 7 โซนด้วยกัน ได้แก่ โซน Factory โซน Bricktopia โซน Adventure โซน Knight’s Khingdom โซน Pirate Shores โซน Miniland และโซน LEGO® City รวมถึงมีโรงแรมให้เข้าพัก และร้านขายของที่ระลึกให้ได้เลือกซื้อ LEGO แบบต่างๆ กลับไปต่อกันที่บ้าน ใครมาเที่ยวแบบครอบครัว ที่นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจไม่น้อย
สวนสนุกเลโก้แลนด์ เจแปน (Legoland® Japan)
ที่อยู่ | 2-2-1 Kinjoufutou, Minato, Nagoya, Aichi 455-8605 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Nagoya นั่งรถไฟสาย Aonami มาลงที่สถานี Kinjofuto จากนั้นเดินต่อไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงสวนสนุกเลโก้แลนด์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที |
เวลาทำการ | 10.00 – 16.00 น. หรือ 10.00 – 17.00 น. (เวลาจะเเตกต่างกันออกไปในเเต่ละวัน) |
ราคา | กดที่นี่ |
Website | Legoland® Japan (ภาษาอังกฤษ) |
ข้อสรุป
เป็นยังไงกันบ้างกับ 10 แลนด์มาร์กในภูมิภาคจูบุที่เลือกมาแนะนำให้รู้จักกัน แต่ละที่น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหม สำหรับใครที่มาเที่ยวภูมิภาคจูบุแล้วยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี จะนำสถานที่ที่เราแนะนำไปเป็นตัวช่วยในการหาจุดเช็คอินที่สนใจก็ไม่ว่ากัน ทุกที่ล้วนมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแบบไม่เหมือนใคร รับรองว่า
ไปแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน