สำหรับใครที่อยากเที่ยวต่างประเทศใกล้ๆ นี่เลย เที่ยวญี่ปุ่น หนึ่งในประเทศยอดฮิตสำหรับคนไทยที่ไม่ว่าจะเป็นสายเที่ยวแหล่งธรรมชาติ สายถ่ายรูป สายคาเฟ่ สายเที่ยวเมืองเก่า สายศิลปืวัฒนธรรม ญี่ปุ่นก็เอาอยู่ในทุกการเที่ยวทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งภูมิภาคจูบุ ก็เป็นอีกภูมิภาคที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี มีจุดเช็คอินปังๆ มากมาย อีกทั้งยังเดินทางได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย ว่าแล้วก็มาดูกันเลยดีกว่าว่าจะล็อคเป้าพิกัดไหนในภูมิภาคจูบุไว้กันดี กับ “เที่ยวจูบุ 10 แลนมาร์ค สวยตะลึง น่าตะลุย” บอกเลยว่าคุณจะได้เป้าหมายและพิกัดที่อยากไปในใจอย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วก็ออกไปลุยกันเลย
1. หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago)
ชิราคาวาโกะ หมู่บ้านอนุรักษ์เก่าแก่อายุกว่า 250 ปี ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ในปี 1995 ให้เป็นเมืองมรดกโลกญี่ปุ่น หมู่บ้านตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาในจังหวัดกิฟุ มีลักษณะเป็นบ้านไม้ญี่ปุ่นแบบโบราณที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างมาจากธรรมชาติล้วนๆ มีเอกลักษณ์คือหลังคาทรงพนมมือ
มุงด้วยฟางข้าว เรียกว่า Gassho-zukuri (กัสโชซุคุริ)
บ้านเรือนกระจายตัวขนานไปกับแม่น้ำโชกาวะ ภายในหมู่บ้านที่ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ประกอบด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ศาลเจ้า วัด พิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก โฮมสเตย์ และออนเซ็น
สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ทั้งปี ซึ่งแต่ละฤดูก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว ที่จะมีการแสดงไฟช่วงกลางคืนหรือที่เรียกว่า“Shirakawago Light Up” รวมไปถึงเสน่ห์และความงดงามที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาดูได้ที่นี่เท่านั้น อีกทั้งภายในหมู่บ้านยังมีจุดน่าแวะอีกหลายที่เลย ใครมาโซนจังหวัดกิฟุ อย่าลืมเก็บดินแดนแห่งความฝันอย่างหมู่บ้านชิราคาวาโกะนี้ไว้ในแพลนกันด้วยนะ รับรองว่าประทับใจจนอยากกลับไปอีกในทุกๆ ฤดูอย่างแน่นอน
หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago)
ที่อยู่ 2499 Ogi, Shirakawa, Ono, Gifu 501-5627
วิธีเดินทาง จากนาโกย่า (Nagoya) ให้นั่งรถไฟเข้าเมืองทาคายาม่า (Takayama) แล้วต่อรถบัส Takayama Nohi Bus Center ไปที่หมู่บ้านอีกประมาณ 50 นาที
เวลาทำการ มีนาคม-พฤศจิกายน 08.40 – 17.00 น. / ธันวาคม-กุมภาพันธ์ 09.00 – 16.00 น. เมษายน – พฤศจิกายน (เปิดทุกวัน) / ธันวาคม – มีนาคม (ปิดทุกวันพฤหัสบดี)
ราคา ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็ก 400 เยน
Website Shirakawago (ภาษาอังกฤษ)
ดูแผนที่ หมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawago)
2. ไร่ชา Nihondaira
หากพูดถึงไร่ชา ต้องยกให้จังหวัดชิซุโอกะ เนื่องจากมีพื้นที่ไร่ชาเขียวที่มีการเก็บและส่งออกชาเชียวมากที่สุด
ในญี่ปุ่น อีกทั้งชาของที่นี่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ สำหรับไฮไลท์เด็ดของที่นี่ก็คือเป็นไร่ชาที่ปลูกชามากถึง 8 ชนิด ซึ่งทางไร่ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเรียนรู้วิธีเก็บใบชาอย่างใกล้ชิดในช่วงกลางเดือนเมษายนไปจนถึงเดือนตุลาคม
และนอกจากความสวยงามของไร่ชาสีเขียวชอุ่มที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เรายังจะได้ชื่นชมกับวิวภูเขาไฟฟูจิสีฟ้าขาวตัดกับสีเขียวของไร่ชา กลายเป็นภาพแห่งความสวยงามที่สร้างสรรค์โดยจิตกรแห่งธรรมชาติจนได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 จุดชมวิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น อีกทั้งยังสามารถซื้อใบชาที่ผ่านกรรมวิธีอบแห้งกลับบ้านเป็นที่ระลึก โดยจ่ายเงินเพียง 1,300 เยน เราก็จะได้รับกระป๋องบรรจุชามา 1 ใบให้ตักชาใส่ได้ตามใจ
ไร่ชา Nihondaira
ที่อยู่ 4046-1 Muramatsu, Shimizu, Shizuoka 424-0926
วิธีเดินทาง นั่งรถไฟ JR สาย Tokaido มาลงสถานี Shizuoka แล้วนั่งรถเมล์สาย 42 จากป้าย 11 หน้าสถานีรถไฟมาลงที่ป้ายรถบัสป้ายสุดท้าย Nihondaira Ropeway แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 15-20 นาที
เวลาทำการ 09.00 – 15.00 น.
ราคา 600 เยน/คน
Website Nihondaira (ภาษาญี่ปุ่น)
ดูแผนที่ ไร่ชา Nihondaira
3. สะพานแขวนแห่งความฝัน (Yume no Tsuribashi)
สะพานแขวนยูเมะ โนะ สึริบาชิ (Yume no Tsuribashi) หรือ สะพานแห่งความฝัน ตั้งอยู่ในหุบเขาสุมาตะเคียว (Sumatakyou) จังหวัดชิซุโอกะ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว unseen ของญี่ปุ่น ที่นอกจากจะได้ชมธรรมชาติ
อันสมบูรณ์แล้ว ยังได้ตื่นเต้นกับการผจญภัยในป่า สะพานนี้ยาว 90 เมตร สูง 8 เมตร พาดผ่านภูมิทัศน์อันงดงาม
ทั้งท้องฟ้าสีสวยและน้ำสีใส เรียกว่าเป็นพิกัดธรรมชาติที่น่าไปเที่ยวชมอย่างยิ่ง
ว่ากันว่า…ความรักและความปรารถนาจะเป็นจริงหากได้มาอธิษฐานกลางสะพาน เพียงเดินไปตรงกลางสะพานแล้วอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ความรักที่หวังไว้ก็จะสมดังคำขอ มีคนขอแล้วสมหวังไม่น้อย จนกลายเป็นไฮไลท์ของ
ที่นี่เลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่ยังสวยงามต่างกันออกไปในแต่ละฤดูกาลอีกด้วย
สะพานแขวนแห่งความฝัน (Yume no Tsuribashi)
ที่อยู่ Kawanehon, Haibara, Shizuoka 428-0402
วิธีเดินทาง นั่งรถไฟสาย Oigawa Railway มาลงที่สถานี Senzu จากนั้นต่อด้วยนั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Sumata-kyo Onsen ใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 30 นาที เพื่อไปยังจุดข้ามสะพาน
เวลาทำการ เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 8:00 – 18:00 น. **เพื่อความปลอดภัยควรกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
Website Yume no Tsuribashi (ภาษาอังกฤษ)
ดูแผนที่ สะพานแขวนแห่งความฝัน (Yume no Tsuribashi)
4. Lake Hyoko Swan
Cr : Lake Hyoko Swan
ทะเลสาบเฮียวโกะ (Hyoko) ตั้งอยู่ในเมือง Agano จังหวัดนีกาตะ ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งในช่วง
ฤดูหนาวของทุกปีจะมีนกอพยพจากไซบีเรียบินมาที่ทะเลสาบแห่งนี้มากมาย ที่นี่จึงมีนกหลากหลายสายพันธุ์
ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกันแบบใกล้ชิด โดยเฉพาะหงส์ ในทุกปีจะมีหงส์ราว 5,000 ตัวบินมาอวดความงาม
ที่ทะเลสาบแห่งนี้ จึงทำให้ที่นี่โด่งดังในฐานะจุดชมหงส์ที่สวยงาม
Cr : Lake Hyoko Swan
Cr : Lake Hyoko Swan
พบกับคุณลุงที่คอยมาให้อาหารหงส์ได้ทุกวัน วันละ 3 เวลา คือ 9 โมง 11 โมง และ 3 โมงเย็น ลุงจะเดินโปรยอาหารจากบนสะพานไปเรื่อยๆ พร้อมกับร้องเรียกนกและฝูงหงส์ เรียกได้ว่าเป็นภาพความประทับใจที่หาไม่ได้ง่ายๆ คุณลุงหงส์บอกว่าตนจำได้ว่าหงส์ตัวไหนเคยมาเมื่อปีที่แล้วโดยดูจากจงอยปากและเท้าของมัน ใครอยากชื่นชมทะเลสาบสวยงามที่มีหงส์บินโฉบไปมา บอกเลยว่าที่นี่ตอบโจทย์สุดๆ
Lake Hyoko Swan
ที่อยู่ 314-19 Suwon, Agano, Niigata 959-2013
วิธีเดินทาง จากสถานี Niigata จากนั้นขึ้นรถไฟ JR Shin-etsu Main Line มาลงที่สถานี Niitsu จากนั้นให้เปลี่ยนมาขึ้นรถไฟสาย JR Uetsu Main Line มาลงที่สถานี Suibara ต่อด้วยนั่งแท็กซี่ไป Lake Hyoko Swan ประมาณ 5 นาที
เวลาทำการ เดือนตุลาคม – มีนาคม ตลอด 24 ชม.
Website Lake Hyoko Swan (ภาษาญี่ปุ่น)
5. สวนลิงจิโกกุดานิ (Jigokudani Monkey Park)
สวนลิงจิโกคุดานิ (Jigokudake Yaenkoen) ตั้งอยู่ในจังหวัดนากาโนะ สถานที่หนึ่งเดียวในโลกที่จะได้เห็นลิงญี่ปุ่นแช่ออนเซ็นกันอย่างใกล้ชิด โดยลิงญี่ปุ่นเหล่านี้เป็นลิงป่าทั้งหมด มีอยู่ประมาณ 160 ตัว ในตอนกลางคืน
ฝูงลิงจะเข้าไปนอนในป่า และในตอนกลางวันก็จะกลับมาเผยโฉมคอยเป็นนายแบบนางแบบให้นักท่องเที่ยว
มาถ่ายรูป
ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น น้องลิงจึงขนพองฟู ทำให้ดูตัวอ้วนกลม แต่เคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว เพลิดเพลินไปกับน้องลิงในอิริยาบถต่างๆ พร้อมกับเรียนรู้วิถีชีวิตตามธรรมชาติ ลิงก็น่ารัก ทิวทัศน์ก็สวยงาม มาเที่ยวนากาโนะทั้งที อย่าลืมแวะมาชมลิงหิมะแช่ออนเซ็นกันได้ที่นี่นะ
สวนลิงจิโกกุดานิ (Jigokudani Monkey Park)
ที่อยู่ 6845 Yamanouchi, Shimotakai, Nagano 381-0401
วิธีเดินทาง จากสถานี JR Nagano นั่งรถไฟสาย Nagaden Nagano เลือกรถไฟแบบ Limited Express ชื่อขบวน Snow Monkey เพื่อมาลงสถานี Yudanaka จากนั้นนั่งรถบัส ที่หน้าสถานีไปลงป้าย Kanbayashi Onsen หรือป้าย Kanbayashi Onsen-guchi แล้วเดินต่อเข้าไปตามป้ายอีกประมาณ 1.6 กิโลเมตร
เวลาทำการ ฤดูร้อน (ประมาณเดือนเมษายน – ตุลาคม) เปิด 8.30 – 17.00 น. ฤดูหนาว (ประมาณเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม) เปิด 9.00 – 16.00 น.
ราคา แบบรายบุคคล : ผู้ใหญ่ (18 ปีขึ้นไป) 800 เยน นักเรียนประถมถึงมัธยมปลาย 400 เยน แบบกลุ่ม (20 คนขึ้นไป) : ผู้ใหญ่ 680 เยน นักเรียนประถมถึงมัธยมปลาย 340 เยน บัตรรายปี : ผู้ใหญ่ 5,000 เยน นักเรียนประถมถึงมัธยมปลาย 2,500 เยน
Website Jigokudani Monkey Park (ภาษาอังกฤษ)
ดูแผนที่ สวนลิงจิโกกุดานิ (Jigokudani Monkey Park)
6. สวนดอกไม้นาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato)
สวนดอกไม้นาบานะ โนะ ซาโตะ ตั้งอยู่ในเมืองคุวานะ จังหวัดมิเอะ หนึ่งในสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีพื้นที่กว้างถึง 300,000 ตารางเมตร ไม่ว่าจะมาฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ หรือฤดูไหนก็จะได้พบกับความงดงามของดอกไม้นานาพันธุ์มากกว่า 40 สายพันธุ์ มีทั้งซากุระ ทิวลิป คอสมอส กุหลาบ ไฮเดรนเยีย และอีกมากมาย ที่พากัน
ผลิดอกชูช่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะแยะ ถูกใจสายถ่ายรูปอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวของทุกปี ที่นี่จะมีการจัดงานประดับไฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ในบรรยากาศ
สุดโรแมนติก ซึ่งรวมถึงอุโมงค์ประดับไฟกว่า 200 เมตร ที่เปรียบเสมือนเป็นอุโมงค์ดวงดาวแห่งทางช้างเผือก
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นแสงไฟระยิบระยับประดับตามที่ต่างๆ อย่างสวยงามและหาดูได้เฉพาะที่นี่
ที่เดียวเท่านั้น
สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวชมธรรมชาติและความสวยงามของสวนดอกไม้แห่งนี้ ขอแนะนำให้มาในช่วงปลายปี เพราะจะได้อิ่มเอมไปกับงานประดับไฟกันอย่างจุใจ และยังสามารถเดินชมในโซนอื่นๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น
ออนเซ็น จุดชมวิวมุมสูงแบบ 360 องศา คาเฟ่ในสวน และร้านอาหารบรรยากาศดี
สวนดอกไม้นาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato)
ที่อยู่ 270 Komae Urushihata, Nagashima, Kuwana, Mie 511-1144
วิธีเดินทาง จากสถานี Nagoya ให้นั่งรถบัส Meitetsu Bus จากท่ารถ Meitetsu Bus Center (อยู่ใกล้กับสถานี Nagoya) มาลงที่ป้าย Nabana No Sato ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
เวลาทำการ 10.00 – 21.00 น. หรือ 10.00 – 22.00 น. (เวลาจะแตกต่างไปตามฤดูกาลในแต่ละปี)
ราคา ค่าเข้าชมแตกต่างไปตามฤดูกาล ช่วงฤดูใบไม้ผลิ – ใบไม้ร่วง : 1,600 เยน ฤดูหนาว (ช่วงประดับไฟ) : 2,300 เยน (*จะได้คูปอง 1,000 เยน สำหรับนำไปใชแทนเงินสดในร้านต่างๆ ภายในงาน)
Website Nabana no Sato (ภาษาญี่ปุ่น)
ดูแผนที่ สวนดอกไม้นาบานะโนะซาโตะ (Nabana no Sato)
7. กำเเพงน้ำเเข็ง (Tateyama Kurobe Alpine Route)
Tateyama Kurobe Alpine Route เส้นทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของจังหวัดโทยามะและจังหวัด
นากาโนะ พาดผ่านวิวทิวทัศน์สลับซับซ้อนของเทือกเขาแอลป์ หรือที่นิยมเรียกกันติดปาว่า เจแปนแอลป์ จุดที่
สูงที่สุดของเจแปนแอลป์คือ ยอดเขาทาเตยามะ สูง 3,015 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 2 รองจาก
ภูเขาไฟฟูจิ
จุดที่สูงที่สุดที่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปได้อยู่ที่บริเวณ Murodo ที่มีความสูง 2,450 เมตร จุดนี้จะมี
“Yuki no Otani” หรือ กำแพงหิมะ ตั้งตระหง่านคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเป็นระยะทางเกือบ
1 กิโลเมตร สามารถชื่นชมความงามผ่านกระจกรถบัสของอุทยาน หรือจะก้าวลงมาสัมผัสแบบใกล้ชิดติดขอบ
กำแพงก็ได้เช่นกัน
โดยปกติแล้วกำแพงหิมะแห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมประมาณกลางเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี หลังจากเดือนมิถุนายนไปแล้ว กำแพงหิมะก็จะค่อยๆ ลดระดับความสูงลง แต่ยังมีให้เห็นไปจนถึงกรกฏาคม – สิงหาคม
กำเเพงน้ำเเข็ง (Tateyama Kurobe Alpine Route)
ที่อยู่ Tateyama, Nakaniikawa, Toyama 930-1406
วิธีเดินทาง จากสถานี Tokyo ขึ้นรถไฟ Hokuriku Shinkansen มาลงที่สถานี Toyama ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นต่อรถไฟ Toyama Chihou Railway มาลงที่สถานี Tateyama ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
เวลาทำการ 09.30 – 15.15 น. (เข้าชมรอบสุดท้าย 15.00 น.) **ช่วงเวลาที่ให้บริการบนเส้นทาง Tateyama-Kurobe Alpine Route อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ขอเเนะนำให้เช็คช่วงเวลาที่เเน่นอนที่เว็บไซต์ทางการก่อนการเดินทาง
Website Tateyama Kurobe Alpine Route (ภาษาอังกฤษ)
ดูแผนที่ กำเเพงน้ำเเข็ง (Tateyama Kurobe Alpine Route)
8. นาข้าวขั้นบันได Shiroyone Senmaida
Shiroyone Senmaida คือพื้นที่นาข้าวขั้นบันไดในเขตเมืองเมืองวะจิมะ (Wajima) จังหวัดอิชิกะวะ หรือบริเวณคาบสมุทรโนโตะ โดยบริเวณพื้นที่แห่งนี้จะมีนาข้าวแปลงเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร มากกว่า 1,000 แปลง ตั้งเรียงรายลดหลั่นกันลงมาตามแนวเชิงเขาไล่ลงไปจนถึงริมทะเลญี่ปุ่น
ไฮไลท์เด็ดของที่นี่จะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม หรือเรียกว่าช่วง Aze no Kirameki ซึ่งจะมีการนำหลอดไฟ LED มากกว่า 21,000 หลอดมาประดับตกแต่งไปทั่วบริเวณผืนนาข้าวแห่งนี้ ในยามค่ำคืน แสงไฟสีชมพูและสีทองก็จะสว่างขึ้น และสลับเปลี่ยนสีในทุกๆ 30 นาที เป็นภาพที่สวยงามแบบที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
ถึงแม้ว่าจะพลาดโอกาสในช่วงนี้ไป ก็ยังสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ตลอดทั้งปี เพราะนาข้าวขั้นบันไดแห่งนี้มีอากาศบริสุทธิ์และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามให้นักท่องเที่ยวได้แวะมาชมกันอยู่เสมอ
นาข้าวขั้นบันได Shiroyone Senmaida
ที่อยู่ 99-5 Shiroyone, Wajima, Ishikawa 928-0256
วิธีเดินทาง นั่งรถไฟสาย JR West Nanao Line มาลงที่สถานี JR Wajima แล้วต่อด้วยนั่งรถบัส Hokutetsu Okunoto สาย Machino-sen ลงที่ป้าย Shiroyone Bus Stop จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
เวลาทำการ ตลอด 24 ชั่วโมง
Website Shiroyone Senmaida (ภาษาอังกฤษ)
ดูแผนที่ นาข้าวขั้นบันได Shiroyone Senmaida
9. โอเอซิส 21 (Oasis 21)
โอเอซิส 21 แลนด์มาร์กยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นของนาโกย่า มีความโดดเด่นตรงสถาปัตยกรรมรูปทรงวงรีที่ใช้วัสดุหลักเป็นกระจก มีลักษณะคล้ายยาวอวกาศที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน พื้นที่ตรงกลางมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่ช่วยปรับลดอุณหภูมิพื้นที่ส่วนอื่นของอาคารและช่วยประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี
พื้นที่ด้านบนซึ่งเป็นลานกระจกลอยฟ้าแบบเปิดโล่งเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเดินเล่น ด้วยความสูงจากพื้นดิน
ถึง 14 เมตร จึงมองเห็นหอคอยนาโกย่าและทัศนียภาพสวยๆ ได้อย่างชัดเจน นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่ง
ของเมือง
ในส่วนด้านล่างของอาคารมีพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรม ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาแสดงความสามารถต่างๆ
ตลอดทั้งวัน ชั้นใต้ดินมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ที่ครอบคลุมมากที่สุดจุดหนึ่งของเมือง
ในช่วงกลางคืนจะมีการเปิดไฟหลากสีสัน ทำให้สถาปัตยกรรมรูปยานอวกาศแห่งนี้ดูสวยงามแปลกตา และเต็มไปด้วยบรรยากาศสุดโรแมนติก สร้างมนต์สะกดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและหามุมถ่ายรูปกันจนลืมเวลา
โอเอซิส 21 (Oasis 21)
ที่อยู่ 1-11-1, Higashisakura, Higashi, Nagoya, Aichi 461-0005
วิธีเดินทาง จากสถานี Nagoya นั่งรถไฟสาย Higashiyama มาลงที่สถานี Sakae ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5 นาที โดยตัวสถานีจะอยู่บริเวณเดียวกับศูนย์การค้า โอเอซิส 21
เวลาทำการ ยานอวกาศน้ำ 10.00 – 21.00 น. ร้านค้า 10.00 – 21.00 น. ร้านอาหาร 10.00 – 22.00 น. ร้านบริการต่างๆ 10.00 – 20.00 น.
Website Oasis 21 (ภาษาอังกฤษ)
ดูแผนที่ โอเอซิส 21 (Oasis 21)
10. สวนสนุกเลโก้แลนด์ เจแปน (Legoland® Japan)
สวนสนุกเลโก้แลนด์ เจแปน ตั้งอยู่ที่เมืองนาโกย่า จังหวัดไอจิ เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2017 บนพื้นที่กว่า 93,000 ตารางเมตร ริมท่าเรือมินาโตะ เป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่แสดงถึงความนิยมจากของเล่นระดับโลกที่ใครๆ
ก็รู้จักอย่างตัวต่อเลโก้ สวนสนุกแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากบริษัทผู้ผลิตเลโก้โดยตรง จึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพ
และความสนุกสนานที่เนรมิตให้อยู่ในธีมปาร์คเลโก้แบบทุกตารางนิ้ว
สวนสนุกแห่งนี้สร้างโดยใช้ชิ้นส่วน LEGO กว่า 17 ล้านชิ้น พร้อมกับหุ่นเลโก้ขนาดใหญ่ที่สร้างไม่ซ้ำกันกว่า 10,000 แบบ มีเครื่องเล่นและสิ่งที่น่าสนใจกว่า 40 จุด ที่จะคอยสร้างความตื่นเต้น ความสนุกสนาน และรอยยิ้ม
ให้ทั้งคุณและครอบครัว
สวนสนุกแบ่งออกเป็น 7 โซนด้วยกัน ได้แก่ โซน Factory โซน Bricktopia โซน Adventure โซน Knight’s Khingdom โซน Pirate Shores โซน Miniland และโซน LEGO® City รวมถึงมีโรงแรมให้เข้าพัก และร้านขายของที่ระลึกให้ได้เลือกซื้อ LEGO แบบต่างๆ กลับไปต่อกันที่บ้าน ใครมาเที่ยวแบบครอบครัว ที่นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจไม่น้อย
สวนสนุกเลโก้แลนด์ เจแปน (Legoland® Japan)
ที่อยู่ 2-2-1 Kinjoufutou, Minato, Nagoya, Aichi 455-8605
วิธีเดินทาง จากสถานี Nagoya นั่งรถไฟสาย Aonami มาลงที่สถานี Kinjofuto จากนั้นเดินต่อไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงสวนสนุกเลโก้แลนด์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
เวลาทำการ 10.00 – 16.00 น. หรือ 10.00 – 17.00 น. (เวลาจะเเตกต่างกันออกไปในเเต่ละวัน)
ราคา กดที่นี่
Website Legoland® Japan (ภาษาอังกฤษ)
ดูแผนที่ สวนสนุกเลโก้แลนด์ เจแปน (Legoland® Japan)
ข้อสรุป
เป็นยังไงกันบ้างกับ 10 แลนด์มาร์กในภูมิภาคจูบุที่เลือกมาแนะนำให้รู้จักกัน แต่ละที่น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหม สำหรับใครที่มาเที่ยวภูมิภาคจูบุแล้วยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี จะนำสถานที่ที่เราแนะนำไปเป็นตัวช่วย
ในการหาจุดเช็คอินที่สนใจก็ไม่ว่ากัน ทุกที่ล้วนมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแบบไม่เหมือนใคร รับรองว่า
ไปแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน