1. วัดเซนโจจิ (Sensoji Temple)
วัดเซนโซจิ หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดอาซากุสะ (Asakusa Kannon Temple) คือวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดในโตเกียว อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานและขึ้นชื่อด้านความศักดิ์สิทธิ์
มาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวญี่ปุ่นและยังเป็นวัดดังที่นักท่องเที่ยว
พากันมากราบไหว้ขอพรกันเป็นจำนวนมาก
จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือ ยักษ์ 2 ตนยืนเฝ้าประตูทั้ง 2 ฝั่งหน้าวัด และโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่โดดเด่นสะดุดตา เขียนด้วยตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นว่า 雷 อ่านว่า “คามินาริ” แปลว่า สายฟ้า ประตูแห่งนี้จึงมีอีกหนึ่งว่า “ประตูสายฟ้า” นั่นเอง
เมื่อเดินเข้าประตูสายฟ้าไป จะพบกับถนนนากามิเสะ (Nakamise dori) ถนนแห่งการช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยว
ที่มีทั้งเครื่องราง ขนม ของฝาก ของที่ระลึก วางจำหน่ายมากมายจนเลือกไม่ถูก หากต้องการซื้อกลับบ้านไปฝากครอบครัวและเพื่อนๆ ก็มีบริการจัดใส่กล่องห่ออย่างสวยงามให้อีกด้วย
วัดเซนโจจิ (Sensoji Temple)
ที่อยู่ | 2-3-1 Asakusa, Taito, Tokyo 111-0032 |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟใต้ดินสาย Ginza (สีส้ม) มาลงที่สถานี Asakusa ออกทางออกหมายเลข 6 หรือ 7 จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 450 เมตร ใช้เวลาประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | 06.00 – 17.00 น. (เดือนตุลาคม-มีนาคม เปิด 06.30 น.) |
Website | Sensoji Temple (ภาษาอังกฤษ) |
2. สวนอุเอโนะ (Ueno Park)
สวนอุเอะโนะ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในโตเกียว ได้รับการจดทะเบียนเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของญี่ปุ่น
โดยรัฐบาลในปี 1873 มีพื้นที่ราว 530,000 ตารางเมตร เปิดให้เข้าชมฟรี สวนสาธารณะแห่งนี้ไม่ใช่สวนธรรมดา
เพราะภายในมีทั้งวัด ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ อีกทั้งบริเวณสวนยังเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น ชาวโตเกียว
และนักท่องเที่ยวจึงนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจกันเป็นจำนวนมาก
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ประมาณปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน ต้นซากุระที่เรียงรายอยู่สองข้างทางภายในสวนกว่า 1,000 ต้นจะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบาน และมีการจัดงานชมดอกซากุระพร้อมร้านแผงลอยสไตล์ญี่ปุ่น ให้ได้ชมความงามของดอกไม้ ถ่ายภาพและเพลิดเพลินกับอาหารกันอย่างเต็มที่ อีกทั้งในตอน
กลางคืนยังมีการประดับไฟงดงาม เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เด็ดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
สวนอุเอโนะ (Ueno Park)
ที่อยู่ | 3-chome Ikenohata, 85-20 Ueno Park, Taito, Tokyo 110-0007 |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟสาย Yamanote (สีเขียว) หรือรถไฟใต้ดินสาย Ginza (สีส้ม) มาลงที่สถานี Ueno จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 2 นาที |
เวลาทำการ | 05.00 – 23.00 น. |
Website | Ueno Park (ภาษาอังกฤษ) |
3. กระเช้าลอยฟ้า (Mt. Fuji Panoramic Ropeway)
Cr : Mt. Fuji Panoramic RopewayMt. Fuji Panoramic Ropeway หรือ Mt. Kachi Kachi Ropeway คือกระเช้าลอยฟ้าระยะทาง 400 เมตร ที่พาขึ้นไปถึงยอดเขาเท็นโจ (Mount Tenjo) ที่ระดับความสูง 1,075 เมตรจากระดับน้ำทะเล ด้านบนมีจุดชมวิวแบบ
พาโนราม่าให้ได้ชื่นชมและเก็บภาพวิวทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาบคาวากุจิโกะและภูเขาไฟฟูจิกันอย่างเต็มที่
Cr : Mt. Fuji Panoramic Ropeway
บนยอดเขายังตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนกระต่ายและทานูกิน่ารักๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น
เรื่อง คะชิ คะชิ ยามะ (Kachi Kachi Yama) รวมถึงกระดิ่งรูปหัวใจ (The Bell of Tenjo) ศาลเจ้ากระต่าย
(Usagi Jinja) และร้านน้ำชาทานูกิ (Tanuki Chaya)
มาเที่ยวที่นี่กันทั้งที ห้ามพลาดดังโงะลายฟูจิซัง ที่คนเรียกกันว่า Tanuki Dango ที่เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่กันนะ นอกจากจะน่ารักแล้ว ยังหวานกลมกล่อม เนื้อเหนียวนุ่ม อร่อยมาก
กระเช้าลอยฟ้า (Mt. Fuji Panoramic Ropeway)
ที่อยู่ | 4034 Funatsu, Fuji-Kawaguchiko, Minami-Tsuru, Yamanashi 401-0301 |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถบัสรอบเมืองคาวากุจิโกะ Retro Bus (สายสีแดง) จากสถานี Kawaguchiko มาลงที่ป้ายหมายเลข 9 (Sightseeing Boat/Ropeway) |
เวลาทำการ | เปิด 09.30 – 16.30 น. (กระเช้าลอยฟ้าขาลงรอบสุดท้าย เวลา 16.50 น.) ช่วงฤดูหนาว เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ เปิด 09.30 – 15.30 น. (กระเช้าลอยฟ้าขาลงรอบสุดท้าย เวลา 15.50 น.) |
ราคา | ไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 900 เยน เด็ก 450 เยน เที่ยวเดียว : ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 250 เยน |
Website | Mt. Fuji Panoramic Ropeway (ภาษาอังกฤษ) |
4. จุดล่องเรือชมทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko Ensoleille Sailing)
Cr : Kawaguchiko Ensoleille Sailingจุดล่องเรือชมทะเลสาบคาวากุจิโกะ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนทะเลสาบแห่งนี้ต่างพากันมาล่องเรือชมธรรมชาติ
กันเป็นจำนวนมาก โดยเรือจะมี 2 ชั้น ชั้น 1 มีโต๊ะและโซฟาไว้สำหรับพักผ่อนระหว่างล่องเรือกันแบบชิลๆ
ส่วนในวันที่อากาศดี ขอแนะนำให้นั่งบนชั้น 2 เพราะจะได้เพลิดเพลินไปกับฟูจิแบบ 360 องศา มองไปทางไหน
ก็เต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์สวยงามเกินบรรยาย สามารถนำเก้าอี้รถเข็นขึ้นมาได้สะดวกสบาย และยังพาสัตว์เลี้ยง
แสนรักขึ้นมาได้อีกด้วย
Cr : Kawaguchiko Ensoleille Sailing
ชื่นชมและถ่ายภาพความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้ไว้แล้ว ใครต้องการอัพรูปสวยๆ ลงโซเชียลไว้อวดคนทางบ้านก็หมดกังวลเรื่องสัญญาณโทรศัพท์ เพราะบนเรือมีบริการ Wi-Fi ฟรี เรียกได้ว่าสะดวก ครบครัน คุ้มค่า คุ้มราคา
ไม่แปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นตลอดปี
จุดล่องเรือชมทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko Ensoleille Sailing)
ที่อยู่ | 1163-1 Asakawa, Fujikawaguchiko, Nantodome, Yamanashi 401-0303 |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถบัสรอบเมืองคาวากุจิโกะ Retro Bus (สายสีแดง) จากสถานี Kawaguchiko มาลงที่ป้ายหมายเลข 9 (Sightseeing Boat/Ropeway) |
เวลาทำการ | 09.00 – 16.30 น. เรือออกทุกๆ 30 นาที (เวลาทำการจะต่างกันไปตามฤดูกาล) |
ราคา | แบบรายบุคคล : ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 500 เยน แบบกลุ่ม (15 คนขึ้นไป) : ผู้ใหญ่ 900 เยน เด็ก 450 เยน |
Website | Kawaguchiko Ensoleille Sailing (ภาษาอังกฤษ) |
5. สวนฮิตาชิ ซีไซด์ ปาร์ค (Hitachi Seaside Park)
Cr : Hitachi Seaside Parkสวนฮิตาชิ ซีไซด์ ปาร์ค สวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองฮิตาชินากะ (Hitachinaka)
ในจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) สวนดอกไม้แห่งนี้ถือเป็นสวรรค์ของคนรักดอกไม้ เพราะเต็มไปด้วยไม้ดอกนานาชนิด
ที่จะหมุนเวียนผลัดกันบานให้นักเที่ยวได้ชมตลอดทั้งปี ทั้งดอกนาร์ซิสซัส (Narcissus) ดอกทิวลิป (Tulip)
ดอกเนโมฟีลา (Nemophila) และพุ่มโคเคีย (Kochia) ไม่ว่าจะมาในช่วงฤดูไหนก็จะได้พบกับความสวยงาม
ของดอกไม้แน่นอน
Cr : Hitachi Seaside Park
จุดชมดอกไม้ประจำฤดูที่น่าสนใจคือ เนินมิฮาราชิ (Miharashi) เพราะในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี บริเวณนี้จะเป็นสถานที่จัดงานเทศกาล Nemophila Harmony ซึ่งทั้งเนินจะกลายเป็นสีฟ้าอ่อนด้วยดอกเนโมฟีลากว่า 4 ล้านต้น เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง พุ่มโคเคียจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงสดตัดกับสีฟ้าเข้มของท้องฟ้า และยัง
ปกคลุมไปด้วยสีสันสดใสของดอกคอสมอสสีขาว ชมพู และแดง
Cr : Hitachi Seaside Park
นอกจากโซนดอกไม้หลากสายพันธุ์แล้ว ที่นี่ยังมีเส้นทางจักรยานระยะทาง 10 กม. ที่ชมวิวฝั่งทะเลและวิวสวยๆ ของสวนดอกไม้ไปพร้อมกัน นักท่องเที่ยวสามารถเช่าจักรยานได้จากจุดบริการภายในสวน หรือใครอยากชมวิวแบบชิลๆ ที่นี่ก็มีบริการรถนำเที่ยว Seaside Train ที่วิ่งวนทั่วสวน รอบละ 40 นาที โดยจะแวะจอดทั้งหมด 10 จุด สามารถขึ้นลงตามจุดต่างๆ ได้ตามต้องการแบบไม่จำกัดเที่ยวภายในหนึ่งวัน
สวนฮิตาชิ ซีไซด์ ปาร์ค (Hitachi Seaside Park)
ที่อยู่ | 605-4 Mawatari Onuma, Hitachinaka, Ibaraki 312-0012 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Ueno นั่งรถไฟ JR ขบวน Limited Express สาย Joban มาลงที่สถานี Katsuta ใช้เวลาประมาณ 70 นาที จากนั้นเดินออกทางประตู East Exit ขึ้นรถบัส Ibaraki Kotsu Bus ที่ป้ายรถหมายเลข 2 เเล้วมาลงที่ป้าย Kaihin Koen-nishiguchi ที่เป็นทางเข้าด้านหน้าสวน ใช้เวลาประมาณ 25 นาที (หรือนั่งแท็กซี่จากสถานี JR Katsuta จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที) |
เวลาทำการ | 1 มีนาคม – 20 กรกฎาคม 09.30 – 17.00 น. 21 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 09.30 – 18.00 น. 1 กันยายน – 31 ตุลาคม 09.30 – 17.00 น. 1 พฤศจิกายน – สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 09.30 – 16.30 น. |
วันหยุด | ทุกวันอังคาร (ยกเว้นวันอังคารที่ตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ สวนสาธารณะจะปิดในวันธรรมดาถัดไป) วันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคม ของทุกปี วันจันทร์ถึงวันศุกร์ในสัปดาห์เเรกของเดือนกุมภาพันธ์ |
ราคา | ผู้ใหญ่ (15 ปีขึ้นไป) 450 เยน นักเรียนมัธยมต้นหรือต่ำกว่า ฟรี *ช่วงที่มีการจัดเทศกาลชมดอก Nemophila ในฤดูใบไม้ผลิ เเละดอก Kokia ในฤดูใบไม้ร่วง จะมีค่าเข้าชมเพิ่มเติม 250 บาท |
Website | Hitachi Seaside Park (ภาษาอังกฤษ) |
6. เอโดะ วันเดอร์แลนด์ (Edo Wonderland)
Cr : Edo Wonderlandเอโดะ วันเดอร์แลนด์ สวนสนุกที่จำลองทิวทัศน์เมืองเก่าในสมัยเอโดะ ตั้งอยู่ที่เมืองนิกโก้ จังหวัดโทจิกิ ภายในสวนสนุกแห่งนี้จะมีการจำลองสถานที่สำคัญๆ ในสมัยเอโดะเอาไว้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น หมู่บ้าน สะพาน ร้านค้า ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ โรงละครนินจา เเละโรงละครศิลปะประเพณีวัฒนธรรมสมัยเอโดะ อีกทั้งยังให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุคเอโดะจริงๆ เลยก็ว่าได้
Cr : Edo Wonderland
นอกจากทิวทัศน์เมืองเก่าเเล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้ทำอีกมามายเลย ทั้งกิจกรรมกลางแจ้ง การย้อมผ้า การแต่งตัวย้อนยุคในชุดต่างๆ เช่น นินจา ซามูไร เจ้าเมือง ชุดเกราะ และกิโมโน หรือจะทดลองเล่น การเล่นการ์ดเอโดะ
ยิงธนู ปาดาวกระจาย ก็ดูน่าสนุกเหมือนกันนะ
Cr : Edo Wonderland
ที่นี่ยังมีตัวละครพิเศษที่อาศัยอยู่ในสวนสนุกด้วยนะ ชื่อว่า เนี้ยน-มาเงะ ลักษณะเด่นก็คือร่างกายปุกปุย และมวยผมที่เป็นเอกลักษณ์ อย่าลืมไปถ่ายรูปกับตัวละครยอดนิยมแสนน่ารักนี้ เเละลิ้มลองอาหารเเสนอร่อยเมนูเลื่องชื่อในยุคเอโดะที่หาได้ยากมากๆ ในปัจจุบันกันด้วยนะ
เอโดะ วันเดอร์แลนด์ (Edo Wonderland)
ที่อยู่ | 470-2 Karakura, Nikko, Tochigi 321-2524 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Tobu Asakusa นั่งรถไฟสาย Tobu Kinugawa มาลงที่สถานี Kinugawa Onsen จากนั้นนั่งรถบัสต่อไปอีกประมาณ 20 นาที หรือนั่งแท็กซี่ ประมาณ 10 นาที |
เวลาทำการ | Summer Season (20 มีนาคม – 30 พฤศจิกายน) 09.00 – 17.00 น. Winter Season (1 ธันวาคม – 19 มีนาคม) 09.30 – 16.00 น. *ปิดทุกวันพุธ |
ราคา | One Day Pass : ผู้ใหญ่ (13 ปีขึ้นไป) 5,800 เยน เด็ก (6-12 ปี) 3,000 เยน Afternoon Pass (ตั้งเเต่ 13.00 น. หรือ 14.00 น.) ในฤดหนาว ผู้ใหญ่ 5,000 เยน เด็ก 2,600 เยน *เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เข้าฟรี |
Website | Edo Wonderland (ภาษาอังกฤษ) |
7. ศาลเจ้าคาวาโกเอะฮิคาวะ (Kawagoe Hikawa Shrine)
ศาลเจ้าคาวาโกเอะฮิคาวะ ตั้งอยู่ที่เมืองคาวาโกเอะ ในจังหวัดไซตามะ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,500 ปี มีซุ้มประตูโทริอิอยู่ด้านหน้า ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่สถิตของ “เทพเจ้าทั้ง 5” ที่ให้โชคเรื่องความรัก รวมถึงเรื่องของการงานและความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงอีกด้วย
ศาลเจ้าแห่งนี้มีสิ่งน่าสนใจต่างจากศาลเจ้าทั่วไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เซียมซีรูปปลาไท ที่ทำนายเรื่องความรักโดยเฉพาะ ซุ้มแขวนไม้อธิฐาน ลำธารศักสิทธิ์สำหรับขจัดสิ่งชั่วร้าย ซุ้มกระดิ่งลมในฤดูร้อน ต้นไม้ศักสิทธิ์ที่คู่รักนิยมมาเดินวนเป็นเลข 8 เพื่อให้มีความรักที่ยืนยาว เสาโทริอิหินอายุหลายร้อยปี และเสาโทริอิไม้สีแดงอันใหญ่ที่เคยขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติต่าง
ศาลเจ้าคาวาโกเอะฮิคาวะ (Kawagoe Hikawa Shrine)
ที่อยู่ | 2-11-3 Miyashita, Kawagoe, Saitama 350-0052 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Kawagoe บนสาย JR Tobu Tojo หรือสถานี Hon-Kawagoe สาย Seibu Shinjuku ขึ้นรถบัส CO-EDO Loop Bus (ที่วิ่งวนผ่านจุดท่องเที่ยวขึ้นชื่อต่างๆ
ของคาวาโกเอะ) มาลงที่ป้าย Hikawa-Jinja Mae ก็จะถึงด้านหน้าศาลเจ้า |
เวลาทำการ | 09.00 – 17.00 น. |
Website | Kawagoe Hikawa Shrine (ภาษาญี่ปุ่น) |
8. ดราก้อน ฟาร์ม (Dragon Farm)
Cr : Dragon Farmดราก้อน ฟาร์ม ฟาร์มสตอเบอร์รี่ที่โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ อยู่ในตัวเมืองชิบะ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นเมืองแห่งผลไม้ ผลไม้หลักๆ ของที่นี่มีอยู่ 2 อย่าง คือ บลูเบอร์รี่ ที่เปิดให้เก็บช่วงกลางเดือนมิถุนายน
ไปจนถึงเดือนสิงหาคม และสตอเบอร์รี่ ที่เปิดให้เก็บตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม สามารถ
มาเก็บสตรอเบอร์รี่สดๆ จากต้นทานได้แบบไม่อั้น ภายในเวลา 30 นาที อีกทั้งยังมีนมข้นหวานและช็อคโกแลต
ให้จิ้มทานกับสตรอเบอร์รี่ลูกโตแบบฟรีๆ อีกด้วย
Cr : Dragon Farm
Cr : Dragon Farm
ความพิเศษของฟาร์มแห่งนี้ที่หลายๆ คนหลงรักก็คือ เป็นฟาร์มที่เต็มไปด้วยสตรอเบอร์รี่และบลูเบอร์รี่หลาก
สายพันธุ์ โดยเฉพาะสตรอเบอร์รี่นั้นมีให้เลือกมากกว่า 15 ชนิด อีกทั้งมีเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ได้ส่งออกจำหน่าย
ตามตลาดทั่วไปอีกด้วย
ดราก้อน ฟาร์ม (Dragon Farm)
ที่อยู่ | 1354 Ogura, Wakaba, Chiba, Chiba 264-0007 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Akihabara นั่งรถไฟสาย JR Chuo-Sobu มาลงที่สถานี Chiba จากนั้นให้เปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย JR Narita มาลงที่สถานี Tsuga เเละต่อด้วยนั่งรถไฟ สาย Chibatoshi-monorail มาลงที่สถานี Chishirodaikita เเล้วเดินต่อไปยัง Dragon farm ในระยะทาง 1.4 กิโลเมตร |
เวลาทำการ | 09.00 – 17.00 น. ช่วงเวลาการเก็บสตรอเบอร์รี่ ช่วงเช้า 11.00 – 11.30 น. ช่วงบ่าย 14.00 – 14.30 น. *ก่อนการเดินทางเเนะนำในเช็คในเว็บไซต์ทางการของ Dragon Farm เพื่อความชัวร์ว่าในช่วงเวลานั้นทางสวนมีผลไม้ให้คุณเก็บหรือไม่ |
ราคา | ฟาร์มสตรอเบอร์รี่ ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) 3,000 เยน เด็ก (2 ขวบถึงประถม) 1,500 เยน เด็กอายุไม่เกิน 1 ขวบ ฟรี *สามารถกินได้ไม่อั้นในเวลา 30 นาที ฟาร์มบลูเบอร์รี่ ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็ก (อายุ 4 ขวบถึงประถมศึกษา) 800 เยน *สามารถกินได้ไม่อั้น ในเวลา 1 ชม. |
Website | Dragon Farm (ภาษาญี่ปุ่น) |
9. รถไฟท่องเที่ยวโทร็อคโกะ (Watarase Keikoku Railway)
Cr : Watarase Keikoku RailwayWatarase Keikoku Railway คือรถไฟท้องถิ่นที่วิ่งระหว่างเมืองคิริว จังหวัดกุนมะ และเมืองนิกโก้ จังหวัดโทจิกิ ขบวนรถไฟ Torokko จะเป็นตู้รถไฟเปิดโล่ง ไม่มีกระจกหน้าต่าง ให้สามารถชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามทั้งสี่ฤดูกาลพร้อมรับลมเย็นๆ ตลอดเส้นทาง
Cr : Watarase Keikoku Railway
และยังมีขบวนรถไฟให้เลือกใช้บริการ 2 แบบ ได้แก่ขบวนรถไฟแบบเก่าขับเคลื่อนโดยรถจักรดีเซล ที่เรียกว่า Torokko Watarase Keikoku และขบวนรถไฟแบบขับเคลื่อนเอง อย่าง Torokko Wasshi ที่มีลวดลายและสีของขบวนรถไฟที่โดดเด่นนั่นเอง
Cr : Watarase Keikoku Railway
ในฤดูใบไม้ผลิ เส้นทางรถไฟนี้จะเต็มไปด้วยดอกซากุระและนาโนะฮานะ ในฤดูร้อนวิวทิวทัศน์รอบๆ จะกลายเป็นป่าสีเขียวขจี เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีสุดอลังการ และในฤดูหนาวก็จะกลายเป็นหิมะสีขาวโพลน และมีการประดับไฟส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะฤดูไหนก็สวยงามไม่แพ้กัน
รถไฟท่องเที่ยวโทร็อคโกะ (Watarase Keikoku Railway)
ที่อยู่ | 13 Suehiro, Kiryu, Gunma 376-0045 (Kiryu Station สถานีต้นทาง) |
---|---|
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟ Joetsu Shinkansen มาลงที่สถานี Takasaki แล้วต่อรถไฟสาย Ryomo มาลงที่ สถานี Kiryu ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 55 นาที |
ตารางเวลาการเดินรถ | Minecart Wasshi (เดือนธันวาคม 2020 – มีนาคม 2021) กดที่นี่ (ภาษาญี่ปุ่น) Minecart Watarase Valley (เดือนเมษายน – พฤศจิกายน) *ตารางของปีนี้อยู่ในระหว่างการอัพเดต |
ตารางค่าโดยสาร | กดที่นี่ (ภาษาญี่ปุ่น) |
Website | Watarase Keikoku Railway (ภาษาอังกฤษ) |
10. สวนสนุกโยโกฮาม่าคอสโม่เวิลด์ (Yokohama Cosmo World)
สวนสนุกคอสโม่เวิล์ด แหล่งรวมความบันเทิง เครื่องเล่น และกิจกรรมสนุกๆ มากมายแบบจัดเต็ม ตั้งอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงามริมทะเลของอ่าวโยโกฮาม่า (Yokohama Bay) มีจุดเด่นคือชิงช้าสวรรค์คอสโม (Cosmo Clock21) ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่และสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
ภายในแบ่งเป็น 3 โซนหลักๆ ได้แก่ โซน Wonder Amaze ที่มีเครื่องเล่นน่าตื่นเต้นหวาดเสียวหลายชนิด
โซน Kid Carnival ที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นสำหรับเด็กๆ และโซน Burano Street ที่ตั้งอยู่ริมถนน มีเครื่องเล่น
ยอดฮิตอย่าง บ้านผีสิงและเมืองน้ำแข็งติดลบ 30 องศา
เข้าสวนสนุกได้โดยไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู เดินชมวิวสวยๆ ทั่วสวนสนุกได้ฟรีๆ แต่ถ้าอยากเล่นเครื่องเล่นจะต้องซื้อตั๋ว เครื่องเล่นแต่ละชนิดราคาต่างกันไป อยู่ที่ 300-800 เยนเท่านั้น เหมาะสำหรับที่อยากลองเล่นสวนสนุก
ในญี่ปุ่น แต่ไม่อยากเสียค่าเข้าแพงๆ
สวนสนุกโยโกฮาม่าคอสโม่เวิลด์ (Yokohama Cosmo World)
ที่อยู่ | 2-8-1 Shinko, Naka, Yokohama, Kanagawa 231-0001 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Minatomirai สาย Minatomirai เดินประมาณ 2 นาที หรือเดินประมาณ 10 นาที จากสถานี Sakuragicho สาย JR Keihin Tohoku Nigishi หรือ Municipal Subway |
เวลาทำการ | 11.00 – 20.00 น. *หยุดทุกวันพฤหัสบดี (เวลาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ COVID-19) โปรดเช็คเวลาที่เเน่นอนได้ที่เว็บไซต์หลัก |
ราคา | ค่าเข้าสวนสนุกฟรี เเต่ต้องซื้อตั๋วสำหรับเครื่องเล่นแต่ละชนิดแยกกัน โดยมีราคาตั้งแต่ 100-900 เยน |
ราคาตั๋วเครื่องเล่น | ตั๋วเดี่ยว 100-900 เยน ตั๋วสุดคุ้ม มี 2 เเบบ คือเเบบ 3,500 เยน และ 5,000 เยน |
Website | Yokohama Cosmo World (ภาษาญี่ปุ่น) |
ข้อสรุป
ใครมีโอกาสมาเที่ยวภูมิภาคคันโตล่ะก็ อย่าลืมแวะไปเช็คอิน 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเหล่านี้กันนะ ทุกพิกัดคัดมาแล้วว่าเด็ด หวังว่าจะเป็นเป็นไอเดียใหม่ๆ ในการวางแผนทำกิจกรรมสนุกๆ กับครอบครัว เพื่อนๆ หรือคนสำคัญกันนะ รับรองว่ามาแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เอาล่ะ เตรียมกระเป๋าให้พร้อมแล้วออกไปหาประสบการณ์
กันที่ภูมิภาคคันโตกันเถอะ
อ่านบทความที่น่าสนใจ
รวมรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวคันโตไว้ที่นี่แล้ว มาอ่านต่อกัน
เที่ยวคันโต โตเกียว เมืองหลวงใจกลางความรุ่งเรือง และวิวภูเขาฟูจิ
คลิกที่นี่เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม