ประวัติความเป็นมา
สวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden ) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 โดย Hosokawa Tadatoshi ซึ่งเป็นผู้ครองแคว้นฮิโกะ สวนแห่งนี้ได้เริ่มสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1632
โดยเริ่มต้นจากการสร้างวัดริมทะเลสาบขึันมาก่อนซึ่งวัดแห่งนี้มีชื่อว่า Suizenji จากนั้นก็ได้มีการย้ายวัดไปแล้วสร้างร้านน้ำชาขึ้นมาแทนวัด ซึ่งบริเวณที่แห่งนี้นั้นแต่เดิมเป็นสถานที่พักผ่อนของตระกูล Hosokawa เท่านั้น
ในสมัย Tsunatoshi ผู้ที่เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล Hosokawa ก็ได้มีการออกแบบเป็นสวน ต่อมาในสมัยเมจิ ก็ได้มีการสร้างสะพานหินขึ้นมา 2 แห่ง และในปีค.ศ. 1878 ก็ได้มีการสร้างศาลเจ้า Izumi ขึ้นมา แต่สิ่งก่อสร้างที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือภูเขาเทียมที่มีความคล้ายๆคลึ่งกับภูเขาไฟฟูจิซึ่งเรียกว่า Tsukiyama ซึ่งในอดีตว่ากันว่าสมัยสงครามกบฎ Satsuma นั้นภูเขาไฟฟูจิเทียมอันนี้คือถูกใช้เป็นฐานสำหรับยิงปืนใหญ่อีกด้วย
จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ 19 ในช่วงปลายสวนแห่งนี้ก็ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้
ว่ากันว่าสาเหตุที่ตระกูล Hosokawa ได้เลือกสถานที่บริเวณนี้ในการสร้างร้านน้ำชาขึ้นมา เพราะเนื่องจากที่บริเวณนี้นั้นมีบ่อน้ำที่มีคุณภาพสูง โดยน้ำในบ่อน้ำนั้นเป็นน้ำที่มาจากภูเขาไฟ Aso ซึงเหมาะสำหรับใช้ในการชงชา
ส่วนคำว่า Jojuen ที่มีอยู่ด้านหลังคำว่า Suizenji นั้นมีที่มาจากบทกวีของ Tao Yuanming
ลักษณะและการออกแบบสวน
การออกแบบสวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden ) นั้นในสมัยของ Hosokawa Tsunatoshi ผู้ที่เป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูล ได้ออกแบบสวนให้เป็นสวนในสไตล์ยุคที่เรียกว่า Momoyama ซึ่งภายในสวนนั้นได้จำลองสถานที่ต่างๆในลักษณะที่ย่อส่วน ของถนน Tokaido ซึ่งเป็นถนนที่สำคัญในยุค Edo ซึ่งเชื่อมระหว่าง Edo หรือปัจจุบันคือ Tokyo กับ Kyoto โดยไฮไลท์อยู่ที่ ภูเขาไฟฟูจิขนาดเล็ก นอกจากภูเขาไฟฟูจิจำลองแล้วที่นี่ยังองค์ประกอบสำคัญอื่นๆอีกอย่างเช่น สระน้ำหลัก, ศาลเจ้า Izumi, ร้านน้ำชา Kokindenju No Ma
สระน้ำหลักและTsukiyama ( ภูเขาไฟฟูจิจำลอง )
บ่อน้ำที่มีเนื้อที่มากกว่า 10000 ตารางเมตร ที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นความงามของธรรมชาติ เงาต้นไม้ที่สะท้อนอยู่กลางน้ำ และไฮไลท์อยู่ที่ภูเขาไฟฟูจิขนาดจิ๋ว ซึ่งนักเที่ยวจะเห็นความงามที่หาจากที่ไหนไม่ได้นอกจากที่นี่ ซึ่งถ้านักท่องเที่ยวมาช่วงเดือนมิถุนายน – กันยายน จะได้เห็นหญ้าสีเขียวสวยงามอีกด้วย
นอกจากนั้นแล้วบริเวณนี้ยังมีดอกไม้ตามฤดูกาลที่มีความสวยงามให้นักท่องเที่ยวได้ชมอีกด้วยเช่น ดอกบ๊วย, ดอกซากุระ, ดอกเมลเลีย และดอกแไฮเดรนเยีย
ศาลเจ้า Izumi
ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสวนสร้างขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1878 เพื่ออุทิศให้แก่ตระกูล Hosokawa ผู้ที่เคยปกครองแคว้นฮิโกะ ( ปัจจุบันคือ Kumamoto ) มาช้านาน
โดยในปีค.ศ. 2016 ซึ่งเป็นปีที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ Kumamoto เสาโทริอิหิน ได้พังทลายลงมา ก่อนที่ในปีค.ศ. 2020 ก็ได้มีการสร้างเสาโทริอิแบบไม้ ขึ้นมาแทนที่
ภายในศาลเจ้านั้นนักท่องเที่ยวยังสามารถเสี่ยงโชคที่เรียกว่า Omikuji ได้ และยังมีเครื่องรางที่เรียกว่า Omamori จำหน่ายอยู่อีกด้วย
ร้านน้ำชา Kokindenju No Ma
บริเวณทิศตะวันตกของสวน จะมีอาคารที่มีหลังคามุงจาก ซึ่งอาคารแห่งนี้ถูกเรียกว่า Kokindenju No Ma ซึ่งในอดีตนั้นร้านนี้เคยอยู่ที่ Kyoto ก่อนที่จะย้ายมาที่ Kumamoto ในปี ค.ศ. 1912
ซึ่งนักท่องเที่ยวนั้นสามารถใช้บริการร้านน้ำชาแห่งนี้ได้ โดยสามารถสั่งกาแฟ, มัทฉะ หรือขนมหวานต่างๆ มานั่งรับประทานได้ นอกจากนั้นแล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถออกมานั่งข้างนอกบนเสื่อทาทามิ พร้อมกับชมวิวสวนแบบสุดฟินน์ได้อีกด้วย
กิจกรรมและประสบการณ์ที่น่าสนใจ
พิธีชงชา
กิจกรรมชงสไตล์ Higo Koryu ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสการชงชาแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาที่ Kumamoto มากกว่า 400 ปี ซึ่งแน่นอนว่าการชงชาสไตล์นี้จะได้เกี่ยวข้องกับตระกูล Hosokawa ด้วยอย่างแน่นอน
ซึ่งกิจกรรมการชงชาสไตล์ Higo Koryu นั้นไม่ได้มีทุกวัน แต่จัดแค่ภายในเวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ซึ่งในปี 2025 นี้ก็มีเทศกาลที่ชื่อว่า Suizenji Jojuen Festival ซึ่งจัดในวันที่ 29 มีนาคม และ 30 มีนาคม ซึ่งในเทศกาลนี้ก็มีกิจกรรมการชงชาแบบ Higo Koryu ให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสได้ชมอีกด้วย
การเดินชมสวน
แน่นอนว่าการมาเที่ยวสวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden ) นั้น ทุกคนก็ต้องย่อมต้องการที่จะเดินชมสวน สูดอากาศบริสุทธิ์แบบชิลๆ ซึ่งสวนแห่งนี้นั้น ถ้ามาประมาณช่วง พฤษภาคม – กันยายน นักท่องเที่ยวก็จะได้พบกับความเขียวขจีของหญ้าในสวน หรือมาช่วงที่อากาศเย็นหน่อยคือช่วงตุลาคม – เมษายน หญ้าที่สวนก็อาจจะมีสีเหลือง แต่การมีสีเหลืองก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของสวนลดลงแต่อย่างใด
นอกจากความสวยงามของพื้นดินแล้ว ระหว่างที่เดินชมสวนอยู่นั้นหากนักท่องเที่ยวก้มมองบริเวณสระน้ำ ก็จะเห็นได้ว่าน้ำในสระน้ำนั้น ค่อนข้างใสและมองเห็นปลาคาร์ฟกำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ หรือแม้กระทั่งเห็นนกเป็ดน้ำ หรือหงส์ที่กำลังว่ายน้ำอยู่ ซึ่งสร้างบรรยากาศได้ดีทีเดียว
นอกจากเดินชมธรรมชาติแล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถแวะหาของหวานอร่อยๆรับประทานได้อีกด้วย นอกจากร้านน้ำชาแล้ว ที่สวนก็ยังมีตู้ขายของอัตโนมัติคอยบริการด้วย ซึ่งก็มีของกินอร่อยๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ลองรับประทาน
การชมดอกซากุระ
หากนักท่องเที่ยวมาที่สวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden ) ในช่วงปลายเดือนมีนาคม – ต้นเดือนเมษายนนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดอกซากุระของภูมิภาค Kyushu กำลังบาน ซึ่งที่สวนแห่งนี้นั้นมีต้นซากุระมากกว่า 150 ต้นที่บานสะพรั่งรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งถ้าใครมา Kyushu ในช่วงเวลานั้นแล้ว ห้ามพลาดในการมาที่นี่โดยเด็ดขาด
ข้อมูลสำหรับผู้เข้าชม
สวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden )
ที่อยู่ | 8-1 Suizenji Koen, Chuo Ward, Kumamoto, 862-0956 |
วิธีเดินทาง | โดยรถรางจากสถานี Kumamoto นั่งรถรางมาลงป้าย Suizenji Park แล้วเดินอีก 5 นาที หรือ โดยรถไฟจากสถานี Kumamoto นั่งรถไฟสาย Higo – Ozu ไปลงสถานี Suizenji แล้วเดินอีก 15 นาที |
เวลาทำการ | เปิดตั้งแต่ 08.30 น. – 17.00 น. |
ราคา | ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 200 เยน |
Website | สวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden ) |
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงกับสวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden )
ปราสาทคุมาโมโต้ ( Kumamoto Castle )
หากพูดถึงเมือง Kumamoto แล้ว ปราสาท Kumamoto ย่อมจะที่แรกที่คนนึกถึง ปราสาท Kumamoto นั้นสร้างขึ้นโดย Kato Kitomasa ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการสร้างปราสาทคนนึงของยุคนั้น
ปราสาท Kumamoto นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นป้อมปราการที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นหากนักท่องเที่ยวได้มีโอกาศไปปราสาทแห่งนี้จะสังเกตได้ว่า คูน้ำ และกำแพงหินของปราสาท รวมถึงการที่เดินไปถึงตัวหอคอยหลักของปราสาท ค่อนข้างใช้เวลานาน และซับซ้อนอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ล้ำเลิศของ Kato Kiyomasa
ปัจจุบันนั้นปราสาท Kumamoto เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมือง ด้านในได้จัดแสดงประวัติของปราสาท Kumamoto รวมถึงประวัติเกี่ยวกับเมือง Kumamoto อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์กที่ห้ามพลาด
ปราสาทคุมาโมโต้ ( Kumamoto Castle )
ที่อยู่ | 1-1 Honmaru, Chuo Ward, Kumamoto, 860-0002 |
วิธีเดินทาง | จากสถานี Kumamoto นั่งรถรางมาลงป้าย Kumamoto Castle / City Hall แล้วเดินอีก 15 นาที |
เวลาทำการ | เปิดตั้งแต่ 09.00 น. – 17.00 น. ปิดวันที่ 29 – 31 ธันวาคม |
ราคา | ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก 300 เยน |
Website | ปราสาทคุมาโมโต้ ( Kumamoto Castle ) |
Sakura-no-baba Josaien
สถานที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับปราสาท Kumamoto โดยออกแบบให้มีความคล้ายกับเมืองปราสาท โดยที่นี่นั้นประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า ร้านอาหาร มากมาย ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถแวะก่อนหรือหลังเที่ยวปราสาท Kumamoto ก็ได้
นักท่องเที่ยวสามารถลิ้มลองอาหารท้องถิ่นของ Kumamoto อย่างเช่นราเมงเนื้อม้าได้ที่นี่ หรือซาลาเปารูปคุมะมง ก็สามารถหากินได้ที่นี่ด้วยเช่นกัน
Sakura-no-baba Josaien
ที่อยู่ | 1-1-2 Ninomaru, Chuo Ward, Kumamoto, 860-0008 |
วิธีเดินทาง | จากสถานี Kumamoto นั่งรถรางมาลงป้าย Kumamoto Castle / City Hall แล้วเดินอีก 5 นาที |
เวลาทำการ | เปิดตั้งแต่ 09.00 น. – 18.00 น. |
ราคา | ฟรี |
Website | Sakura-no-baba Josaien |
ย่านช้อปปิ้งชิโมโตริ
ถนนช็อปปิ้งที่มีร้านค้า ร้านอาหาร มากมายกว่า 100 ร้าน ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถซื้อของฝากจากร้านเด่นร้านดัง ที่มารวมกันที่นี่ นอกจากนั้นแล้วที่นี่ยังมีร้านอาหารมากมายให้เลือกรับประทานโดยเฉพาะเมนูเนื้อม้า ซึ่งเป็นของกินขึ้นชื่อของ Kumamoto
หากนักท่องเที่ยวมาที่นี่ตอนเช้าๆที่ร้านค้าเพิ่งเปิดล่ะก็ สามารถเดินช็อปปิ้งได้ชิลๆเลย เพราะช่วงนั้นคนจะน้อยมาก และมีร้านที่สามารถทำ Tax Free ได้หลายร้านด้วยเช่นกัน
ย่านช้อปปิ้งชิโมโตริ
ที่อยู่ | 1 Chome-3-10 Shimotori, Chuo Ward, Kumamoto, 860-0807 |
วิธีเดินทาง | นั่งรถรางมาลงป้าย Torichosuji หรือเดิน 20 นาทีจากปราสาท Kumamoto |
Website | ย่านช้อปปิ้งชิโมโตริ |
สรุป
สวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden ) นั้นนับว่าเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของ Kumamoto ซึ่งถ้านักท่องเที่ยวต้องการหาสถานที่สำคัญพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ ที่ไม่ไกลจากตัวเมือง Kumamoto สวนซุยเซ็นจิ โจจูเอ็น ( Suizenji Jojuen Garden ) ถือว่าเป็นสถานที่ที่ต้องไป