1. ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
ปราสาทโอซาก้า หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวโอซาก้าจะต้องแวะมาเยี่ยมชม ปราสาทแห่งนี้เปรียบเสมือนภาพที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และประวัติศาสตร์ของเมือง ตัวปราสาทมีถึง 8 ชั้น ห้อมล้อมด้วยกำแพงหิน คูน้ำ ไปจนถึงสวนนิชิโนมารุ (Nishinomaru Garden) สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มักจะเห็นผู้สูงอายุมาเดินออกกำลังกายบ้าง หนุ่มสาวมาเดินเล่นชมนกชมไม้บ้าง เด็กนักเรียนมาฝึกกีฬาบ้าง ถือเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจสำคัญแห่งหนึ่งของชาวโอซาก้าเลยก็ว่าได้
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซากุระมากกว่า 600 ต้นผลิบานพร้อมๆ กัน นับเป็นการเพิ่มระดับความงดงามกับให้ปราสาทหลายเท่า เรียกให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากมาชื่นชมความงาม เป็นอีกหนึ่งภาพที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน สายถ่ายรูปได้รูปสวยๆ กลับไปอย่างแน่นอน
ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)
ที่อยู่ | 1-1 Osaka, Chuo, Osaka 540-0002 |
---|---|
วิธีเดินทาง | สามารถเลือกลงได้หลายสถานี จากนั้นเดินต่อไปจนถึงตัวปราสาท จะใช้เวลาเดินประมาณ 10-20 นาที สถานีที่ใกล้ที่สุด คือ สถานี Morinomiya ได้ทั้งรถไฟใต้ดิน และ JR รถไฟใต้ดิน : เดิน 10 นาที จาก Tanimachi 4-chrome Station [Tanimachi Subway Line, Chuo Subway Line] รถไฟ : เดิน 10-15 นาที จาก Osakajokoen Station [JR Loop Line] |
เวลาทำการ | 09.00 – 17.00 น. เปิดให้เข้าได้จนถึง 16.30 น. (ขยายเวลาเปิดทำการในบางช่วงในฤดูร้อนเเละฤดูใบไม้ผลิ) |
ราคา | ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็กอายุต่ำว่า 15 ปี เข้าฟรี! |
Website | Osaka Castle (ภาษาอังกฤษ) |
2. จุดชมวิวอาเบะโนะ ฮารุกัส (Abeno Harukas)
อาเบะโนะ ฮารุกัส ตึกสูงระฟ้าสูงที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ JR Tennoji ในเขตอาเบะโนะ จังหวัดโอซาก้า ตัวตึกสูงถึง 300 เมตร ภายในมีทั้งห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ โรงแรม และจุดชมวิว “ฮารุคัส 300” (Harukas 300 Observatory) ที่อยู่บนดาดฟ้า ชั้น 58-60 (รวม 3 ชั้น)
ขึ้นไปยังจุดชมวิวได้โดยขึ้นลิฟท์ที่ชั้น 16 เมื่อขึ้นมาถึงชั้นที่ 58 จะมีลานระเบียงไม้ คาเฟ่ ร้านขายอาหาร ให้คุณได้เติมพลัง เลือกซื้อของที่ระลึกได้ที่ Shop Harukas 300 ชั้น 59 หรือถ้าหากใครอยากชมวิวแบบ 360 องศาล่ะก็ ขอแนะนำที่ชั้น 60 รับรองว่าคุณจะได้เห็นภาพวิวสวยๆ อย่างเต็มพิกัดแน่นอน
จุดที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นอีกหนึ่งจุดของที่นี่ ก็คือ Edge The Harukas รัดสายนิรภัยแล้วออกเดินไปบนทางเดินที่มีขนาดกว้างเพียง 60 เซนติเมตร ยาว 20 เมตร ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ส่วนบนสุดของกระจก ระดับความสูง 300 เมตรเหนือพื้นดิน เรียกได้ว่าสูงและท้าทายมากๆ แต่ก็น่าสนุกไปอีกแบบนะ ต้องลอง
จุดชมวิวอาเบะโนะ ฮารุกัส (Abeno Harukas)
ที่อยู่ | 1-1-43 Abenosuji, Abeno, Osaka, 545-6016 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Namba ขึ้นรถไฟมาลงที่สถานี Osaka-Abenobashi หรือสถานี Tennoji ใช้เวลาเพียง 6 นาที หลังจากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | 10.00 – 22.00 น. (เข้าชมรอบสุดท้าย 21.30 น.) |
ราคา | ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) 1,500 เยน นักเรียนมัธยม (อายุ 12-17 ปี) 1,200 เยน เด็กประถม (อายุ 6-11 ปี) 700 เยน เด็กเล็ก (4-5 ปี) 500 เยน |
Website | Abeno Harukas (ภาษาอังกฤษ) |
3. ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ หรือศาลเจ้าแดง (Fushimi Inari Shrine)
ศาลเจ้าเทพอินาริ หรือที่คนไทยมักเรียกกันว่าศาลเจ้าแดง หรือศาลเจ้าจิ้งจอก คือศาลเจ้าชินโตที่มีความสำคัญมากในเมืองเกียวโต โด่งดังเรื่องประตูโทริอิ หรือเสาประตูสีแดงหลายหมื่นต้นที่เรียงอยู่ข้างหลังศาลเจ้า ทอดยาวไปสู่ภูเขาอินาริ ที่เชื่อกันว่าเป็นภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์
เสาโทริอิเหล่านี้มาจากการบริจาคของบริษัทต่างๆ และชาวญี่ปุ่น ที่นิยมบริจาคกันเพื่อความเป็นสิริมงคล สามารถสังเกตได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา มีตั้งแต่เสาต้นเล็กราคาไม่กี่ร้อยเยน ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ
ทางเดินขึ้นเขามีระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ระหว่างทางจะพบศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ตลอดทาง แม้กระทั่งเสาโทริอิแดงเล็กๆ ก็มีให้เห็นกันด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารท้องถิ่นและร้านขนม ซึ่งมีความพิเศษอยู่ที่การตั้งชื่อให้เข้าธีมจิ้งจอก เช่น ซูชิจิ้งจอกหรืออุด้งจิ้งจอก และเมนูอื่นๆ อีกมากมาย
นักท่องเที่ยวมักจะเดินเที่ยวชมภูเขาอินาริถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า ทางแยก Yotsutsuji เพื่อชมวิวสวยๆ ของเมือง
เกียวโต และสูดอากาศสดชื่นกลับไปแบบเต็มปอด
ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ หรือศาลเจ้าแดง (Fushimi Inari Shrine)
ที่อยู่ | 68 Fukakusa Yabunouchi, Fushimi, Kyoto 612-0882 |
---|---|
วิธีเดินทาง | ศาลเจ้าตั้งอยู่หน้าสถานี JR Inari ซึ่งเป็นสถานีที่สองจากสถานี Kyoto ในเส้นทางรถไฟ สาย JR Nara ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด |
Website | Fushimi Inari Shrine (ภาษาอังกฤษ) |
4. วัดคิโยะมิซุ หรือวัดน้ำใส (Kiyomizu-dera)
วัดคิโยะมิซุ หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “วัดน้ำใส” สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 778 บนเนินเขาที่ปกคลุมด้วยป่าไม้
ทางฝั่งตะวันออกของเกียวโต เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา
กราบไหว้ขอพรกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามชวนตะลึงจนยูเนสโกได้จดทะเบียน
ให้เป็นมรดกโลกในปี 1994
ไฮไลท์ของการมาเยือนวัดแห่งนี้ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่มีระเบียงไม้ยื่นออกมาจากตัวอาคารหลัก
ที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ถือเป็นภูมิปัญญาที่น่าทึ่งของคนโบราณ โดยเสาของอาคารมีความสูงถึง
13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกจึงทำให้บริเวณนี้กลายเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม
มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ รวมถึงเป็นจุดชมซากุระและจุดชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย
วัดคิโยะมิซุ หรือวัดน้ำใส (Kiyomizu-dera)
ที่อยู่ | 1-294 Kiyomizu, Higashiyama, Kyoto, 605-0862 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Kyoto นั่งรถไฟสาย JR Nara Line มาลงที่สถานี Tofukuji แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Keihan Main Line มาลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo จากนั้นนั่งรถบัสหรือเดินต่อไปอีกประมาณ 1.8 กิโลเมตร |
เวลาทำการ | 06.00 – 18.00 น. (เวลาจะเเตกต่างกันไปตามฤดูกาล) |
ราคา | ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 200 เยน |
Website | Kiyomizu-dera (ภาษาอังกฤษ) |
5. หมู่บ้านชาวประมง อิเนะ (Ine Fishing Village)
อิเนะ หมู่บ้านชาวประมงอนุรักษ์ที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมือง
เกียวโต สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวก็คือทิวทัศน์ที่สวยงาม และบ้านเรือนสุดคลาสสิคที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะ
เห็นบ้านไม้โบราณพร้อมอู่เก็บเรือด้านล่าง ที่เรียกว่า “ฟุนายะ” (Funaya) บรรยากาศอันเงียบสงบในยามเช้า
และแสงไฟระยิบระยับบนผิวน้ำที่สะท้อนมาจากบ้านเรือนในยามค่ำคืน ทำให้ที่นี่ดูโรแมนติกเกินกว่าจะเป็นแค่
หมู่บ้านชาวประมงธรรมดาๆ
ในปัจจุบัน หมู่บ้านอิเนะได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวประมงญี่ปุ่นโบราณ ตั้งแต่ตกปลา ปลูกข้าว และอื่นๆ รวมทั้งยังขึ้นชื่อด้านอาหารทะเลสดใหม่อีกด้วย ใครอยากมาอยู่โฮมสเตย์แบบยาวๆ ที่นี่ก็มีที่พักแบบ Boathouse ไว้คอยให้บริการ ให้ได้ลองมาเป็นชาวประมงญี่ปุ่นกันสักครั้งในชีวิต
นอกจากทัศนีย์ภาพที่สวยงามและวิถีชีวิตที่มีสเน่ห์ของคนที่นี่แล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีคาเฟ่น่ารักๆ หลายแห่ง และหลากกิจกรรมให้เลือกทำ ทั้งล่องเรือชมอ่าวอิเนะ ให้อาหารนก ตกปลา ปั่นจักรยานเที่ยวรอบอ่าวแบบฟรีๆ ขึ้นไปถ่ายรูปจากจุดชมวิวที่มองเห็นหมู่บ้านจากมุมสูง หรือจะตะลุยชิมอาหารทะเลสดๆ ตามร้านอาหารก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินทุกคนไม่ควรพลาด
หมู่บ้านชาวประมง อิเนะ (Ine Fishing Village)
ที่อยู่ | 491, Hirata, Ine, Yoza, Kyoto 626-0423 |
---|---|
วิธีเดินทาง | ขึ้นรถบัสจากสถานี Amanohashidate ไปลงที่หมู่บ้านอิเนะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง |
เวลาทำการ | 09.00 – 16.00 น. (เที่ยวเรือให้บริการ) |
ราคา | ไม่มีค่าใช้จ่าย (แต่มีค่าเรือ ผู้ใหญ่ 680 เยน / เด็กต่ำกว่าชั้นประถมลงไป 340 เยน) **เรือออกทุกครึ่งชั่วโมง |
Website | Ine Fishing Village (ภาษาอังกฤษ) |
6. สวนสาธารณะนารา (Nara Park)
สวนสาธารณะนารา คือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่เป็นตัวแทนของเมืองนารา เป็นแหล่งรวมที่เที่ยวหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple) วัดโคฟุคุจิ (Kofuku-ji Temple) ศาลเจ้าคะซุงะไทฉะ (Kasuga
Taisha Shrine) และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเมืองนารา (Nara National Museum) ทั้งยังห้อมล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่
นานาพรรณและธรรมชาติที่สวยงาม ทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดนารา
เป็นอันดับต้นๆ
ไฮไลท์เด็ดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนสวนนาราแห่งนี้ก็คือ ฝูงกวางน้อยใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในสวนอย่างอิสระกว่า 1,200 ตัว สามารถซื้อขนมเซมเบ้สำหรับกวางโดยเฉพาะมาให้น้องๆ ราคาห่อละ 150 เยน ด้วยความน่ารัก
น่าเอ็นดู และความเป็นธรรมชาติ กวางจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของนารานั่นเอง
กวางบางตัวค่อนข้างดุ แนะนำว่าอย่าเข้าไปแหย่ ไม่เช่นนั้นอาจถูกวิ่งไล่ แย่งของกิน หรือถูกกัดโดยไม่ทันตั้งตัว ขอให้ทำตามกฎที่ทางสวนได้แจ้งไว้ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน
สวนสาธารณะนารา (Nara Park)
ที่อยู่ | 30 Noborioji, Nara 630-8501 |
---|---|
วิธีเดินทาง | เดินเท้าประมาณ 15 นาทีจากสถานี Kintetsu-Nara หรือ 25 นาที จากสถานี JR Nara |
เวลาทำการ | 24 ชั่วโมง |
Website | Nara Park (ภาษาอังกฤษ) |
7. โกเบ พอร์ท เทาเวอร์ (Kobe Port Tower)
โกเบ พอร์ท ทาวเวอร์ แลนด์มาร์กชื่อดังที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองโกเบ เป็นหอคอยแห่งแรก
ของโลกที่มีโครงสร้างเหมือนท่อ รูปร่างหน้าตาคล้ายกลอง สีแดงโดดเด่น และมีความสูงถึง 180 เมตร ตัวหอคอย
มีทั้งหมด 5 ชั้น ซึ่งสามารถมองเห็นทั้งท่าเรือ และวิวทิวทัศน์ของเมืองโกเบแบบ 360 องศาได้อย่างเต็มพิกัด
Cr : Kobe Port Tower
ภายในหอคอยยังมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร รวมไปถึงร้านกาแฟหมุนได้ ที่จะหมุนครบรอบทุกๆ 20 นาที
ให้คุณได้ผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับวิวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของเมืองโกเบกันอย่างจุใจ
เมื่อตะวันลับฟ้า หลอดไฟ LED กว่า 7,000 ดวงก็จะส่องสว่าง ทำให้ภาพที่มองออกมาจากหอคอยนั้นดูสวยงามโดดเด่นขึ้นไปอีกหลายเท่า นับเป็นวิวยามค่ำคืนที่สวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น โรแมนติกสุดๆ นอกจากจะได้รูปภาพสวยๆ กลับไปแล้ว ยังได้ทั้งความสุข และความทรงจำดีๆ กลับไปอีกด้วย
โกเบ พอร์ท เทาเวอร์ (Kobe Port Tower)
ที่อยู่ | 2-2 Hatoba, Chuo, Kobe, Hyogo 650-0042 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Shin-Kobe Station นั่งรถไฟใต้ดิน Subway Seishin-Yamate Line ไปยังสถานี Sannomiya จากนั้นเปลี่ยนมานั่งรถไฟ JR สาย Hanshin มาลงที่สถานี Motomachi เเล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 15 นาที |
เวลาทำการ | เปิดตลอดทั้งปี มีนาคม – พฤษจิกายน 09.00 – 21.00 (เข้าชมรอบสุดท้าย 20.30 น.) ธันวาคม – กุมภาพันธ์ 09.00 – 19.00 (เข้าชมรอบสุดท้าย 18.30 น.) |
ราคา | ผู้ใหญ่ 700 เยน เด็ก (นักเรียนระดับประถมศึกษา – มัธยมปลาย) 300 เยน |
Website | Kobe Port Tower (ภาษาญี่ปุ่น) |
8. ย่านโกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
โกเบฮาร์เบอร์แลนด์ ตั้งอยู่ที่บริเวณท่าเรือโกเบ เป็นทั้งแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟเก๋ๆ สวนสนุก
และยังเป็นจุดนัดพบยอดนิยมของคนโกเบอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงเย็นคนจะเยอะมาก มีพื้นที่ให้เดินเล่นได้สบายๆ
รอบบริเวณ และยังมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น Harbor Walk หรือ Brick Warehouses
โกดังสวยงามสไตล์วินเทจ
ด้วยบรรยากาศคลาสสิคสุดแสนโรแมนติก จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่นัดเดทชื่อดังของชาวเมืองและ
นักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย
แนะนำให้เดินมาสวนสนุกเล็กๆ ด้านหลังห้างโมเสค ที่มีชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (Mosaic Ferris Wheel) เป็นหนึ่งในจุดชมวิวสำคัญของเมืองท่าโกเบ ตัวชิงช้ามีความสูงถึง 50 เมตร ตู้นั่งในชิงช้ามีเครื่องปรับอากาศทุกตัว มาชมวิวกันได้แบบไม่ร้อน เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเห็นวิวเมืองโกเบแบบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งตอนกลางคืนจะเต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ เหมาะแก่การถ่ายรูปอย่างยิ่ง
ย่านโกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)
ที่อยู่ | 1-3, Higashikawasaki, Chuo, Kobei, Hyogo 650-0044 |
---|---|
วิธีเดินทาง | ย่านโกเบฮาร์บอร์แลนด์อยู่ติดกับสถานีรถไฟ JR Kobe และสถานีรถไฟใต้ดิน Harborland Subway จากสวนเมริเคน (Meriken Park) เดินไปประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | ร้านค้า 10.00 น. – 20.00 น. ร้านอาหาร 11.00 น. – 22.00 น. สวนสนุก 10.00 น. – 23.00 น. |
Website | Kobe Harborland (ภาษาญี่ปุ่น) |
9. รถไฟสายเหมียว (Tama Densha)
รถไฟสายเหมียว หรือ “ทามะเด็น” ให้บริการโดย Wakayama Electric Railway สาย Kishigawa รถไฟสาย
ท้องถิ่นที่วิ่งระหว่าง JR Wakayama Station ไปสิ้นสุดที่ Kishi Station รวม 14 สถานี
จุดเด่นของรถไฟสายนี้คือ ตกแต่งขบวนรถไฟในสไตล์แมวเหมียวตลอดทั้งคัน ตั้งแต่ลวดลายภายนอกที่มีหู
มีหนวด และภายในที่ตกแต่งเป็นลายแมว ทั้งที่นั่ง เบาะ วอลล์เปเปอร์ ที่จับ และมุมหนังสืออ่านเล่น ซึ่งแต่ละตู้
ก็จะมีการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไป เรียกได้ว่าเป็นไอเดียที่เก๋ และน่ารักสุดๆ
สิ่งที่ไม่ธรรมดาของสถานีรถไฟเล็กๆ นี้ก็คือ นายสถานีทามะ ที่เป็นแมว! สถานีคิชิเคยประสบภาวะขาดทุนเพราะมีคนมาใช้บริการน้อย แต่หลังจากที่มีนายสถานีเป็นแมวเหมียวแสนน่ารักตัวนี้ สถานีรถไฟที่แสนจะเงียบเหงาก็กลับมาคึกคักและกลายเป็นที่เที่ยวสำหรับผู้รักแมวไปในที่สุด นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติต่างแวะเวียนมาชมความน่ารักของนายสถานีทามะเป็นจำนวนมาก
แม้เจ้าแมวทามะจะกลับดาวแมวไปแล้วตั้งแต่ปี 2015 แต่สถานีก็ได้แต่งตั้งแมวเหมียวตัวใหม่ คือ “นิทามะ (Nitama)” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเจ้าทามะให้เป็นนายสถานีแทน ทาสแมวต้องมานั่งรถไฟสายเหมียวและชม
ความน่ารักของน้องกันให้ได้นะ
รถไฟสายเหมียว (Tama Densha)
ที่อยู่ | Kishigawachokoudo, Kinokawa, Wakayama, 640-0413 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Jr wakayama (สถานีต้นทาง) ให้เดินไปตามรอยเท้าน้องเหมียวบนพื้นไปที่ Platform 9 เพื่อซื้อตั๋ว |
ตารางเวลาการเดินรถ | กดที่นี่ (ภาษาญี่ปุ่น) |
ตารางค่าโดยสาร | กดที่นี่ (ภาษาญี่ปุ่น) |
Website | Tama Densha (ภาษาอังกฤษ) |
10. ลานสกีโอคุอิบุคิ (Okuibuki Ski Resort)
Cr : Okuibuki Ski Resortลานสกีโอคุอิบุคิ สกีรีสอร์ทชื่อดังแห่งใหญ่ในแถบคันไซที่มองเห็นวิวทะเลสาบบิวะได้เต็มตา พื้นที่กว้างขวาง
เดินทางสะดวก มีกิจกกรรมมากมาย แถมยังมีเนินสำหรับเล่นสกีถึง 12 คอร์ส ไม่ว่าคุณจะเป็นมือสมัครเล่นหรือ
มือโปร ก็มาสนุกกับการเล่นสกีได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังมีลานสกีที่ชันที่สุดถึง 46 องศาสำหรับมือโปร
และลานสกีหิมะคุณภาพดีพร้อมกิจกรรมสนุกๆ สำหรับน้องๆ หนูๆ อีกด้วย
Cr : Okuibuki Ski Resort
Cr : Okuibuki Ski Resort
หากใครยังไม่เคยเล่นสกีมาก่อน และอยากลองเรียนแบบเป็นเรื่องเป็นราว ที่นี่ก็ยังมีโรงเรียนสอนเล่นสกีหลายหลักสูตรให้บริการ อีกทั้งยังมีชุดและอุปกรณ์ให้เช่าอย่างครบครัน และยังมีศูนย์อาหารขนาดใหญ่ ร้านขายของ
ที่ระลึก และศูนย์ให้บริการข้อมูล ให้ได้แวะเข้ามาเติมพลังระหว่างวันและซื้อของที่ระลึกกลับไปฝากคนทางบ้าน
ได้อีกด้วย รับรองว่าได้รับประสบการณ์สนุกสุดเหวี่ยงกลับไปอย่างแน่นอน
ลานสกีโอคุอิบุคิ (Okuibuki Ski Resort)
ที่อยู่ | Okuibuki, Maibara, Shiga 521-0301 |
---|---|
วิธีเดินทาง | สามารถเดินทางได้หลายเส้นทางโดยรถยนต์ จากโอซาก้า ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที จากเกียวโต 1 ชั่วโมง 20 นาที และจากนาโกย่า ใช้เวลาเพียง 55 นาที |
เวลาทำการ | 08.00 – 17.00 น. Lift Hours 08.00 – 17.00 น. Lift Tickets & Rentals 08.00 – 17.00 น. Rest House 08.00 – 16.00 น. Snow Land 08.00 – 16.45 น. Food Court 08.00 – 17.00 น. Tunnel-Covered Moving Walkway 08.00 – 16.45 น. |
ราคา | กดที่นี่ |
Website | Okuibuki Ski Resort (ภาษาอังกฤษ) |
ข้อสรุป
เป็นไงกันบ้างกับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวในภูมิภาคคันไซที่ไม่ควรพลาด ใครที่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี มาจดลิสต์ไปกันได้ มีทั้งกิจกรรมสนุกสนาน ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นแบบเต็มเปี่ยมและยังได้ประสบการณ์ที่มีค่าและน่าจดจำอีกมากมายเลย ลองไปเที่ยวภูมิภาคคันไซดูสักครั้งสิ แล้วคุณจะติดใจ
ไปแล้วไปอีกอย่างแน่นอน