เที่ยวนิกโก้ 5 วัน 4 คืน ที่สุดแห่งความมันส์และบันเทิงกับทริปตะลุย Tokyo Aizu Nikko

การเดินทางครั้งนี้ ทริปเราเริ่มจากนั่งรถไฟไปจากสถานีโตเกียว จากจุดนี้ใช้พาสเจอาร์ของโทโฮคุก็ได้นะ แล้วไปลงที่สถานี Koriyama ก่อนจะเปลี่ยนมานั่งสาย Ban Etsu West line เพื่อมาลงที่สถานี Aizuwakamatsu หรือเราอาจจะจะเลือกเส้นทางที่เดินทางมาจากโตเกียวโดยสายรถไฟของโทบุ ด้วยการใช้พาส YUTTARI (relaxing) AIZU TOBU FREE PASS โดยเช็คข้อมูลได้จาก ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการเดินทางสบายๆไม่เร่งรีบ เพราะพาสมีอายุการใช้งานถึง 4 วัน

จากนั้นก็ไปเที่ยวโรงเรียนแห่งซามูไร Nisshinkan กัน เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในสามของโรงเรียนซามูไรที่ดีที่สุดของประเทศในสมัยนั้น รับเด็กชายตั้งแต่วัยสิบขวบ โดยเด็กที่เข้ามาก็คือลูกหลานของเหล่าซามูไรนี่เอง

Nisshinkan เป็นโรงเรียนที่สอนทั้งวินัย แนวความคิด ปรัชญาชีวิต ทักษะการต่อสู้ และมารยาทต่อสังคม ทุกคนจะต้องเรียนหนังสือ รู้เรื่องดวงดาว รู้มารยาทการทานข้าว ฝึกยิงธนู ขี่ม้า ต่อสู้ หนึ่งในคำสอนของซามูไรที่ดีมากๆคือ เหล่าซามูไรจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

สระว่ายน้ำแห่งแรกของญี่ปุ่น มีความลึกมาก ใช้เป็นที่ฝึกซามูไรในการสู้รบทางน้ำ โดยเหล่าซามูไรจะต้องสวมเสื้อเกราะแบบครบชุดแล้วต้องหัดขึ้นหลังม้าภายใต้สภาพที่อยู่ในน้ำนี้

คิโด หรือการยิงธนู หนึ่งในทักษะการต่อสู้ของซามูไร ที่เราสามารถมาลองประสบการณ์ได้ สอนโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าใช้จ่ายคนละ การยิงธนูนั้น ครูจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน แล้วเราก็ลองทำ เราจะได้เริ่มตั้งแต่การทำความเคารพ การจับลูกธนู การยืน การเล็ง การยิง และจบที่การทำความเคารพสถานที่และอุปกรณ์ เพราะคนญี่ปุ่นถือว่าทุกสิ่งที่ทำให้เรามีทักษะล้วนเป็นครู

Nisshinkan

จากนั้น เราก็เข้าพักที่เรียวกังในย่านน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง Aizuwakamatsu นั่นก็คือ ฮิกาชิยามะออนเซ็น และที่เราจะพักคืนนี้คือ Higashiyama Onsen Harataki ซึ่งเป็นเรียวกังที่ติดกับน้ำตกและลำธาร ห้องพักของเรานั้นได้ยินเสียงลำธารน้ำไหลอย่างใกล้ชิดและธรรมชาติมากๆ แบบนี้เลย โอ๊ย สุดจะฟิน

ส่วนอาหารค่ำนั้น จะเป็นแบบกึ่งอาหารชุดและบุฟเฟต์ คือจัดให้เรานั่งตามโต๊ะ มีอาหารมาวางให้ตรงหน้าที่นั่ง แต่ยังสามารถเดินไปตัดอาหารที่ห้องกลางได้เรื่อยๆจนกว่าจะอิ่ม ณ ค่ำคืนนี้ เหมาขนมแทบจะหมดแผงจ้า ก็มันอร่อยจริงๆนะ

Higashiyama Onsen Harataki

เช้านี้ตื่นมาด้วยความสดใส เดินทางไปเที่ยวปราสาทสึรุกะกันต่อ ปราสาทแห่งนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการรบที่สำคัญในสมัยสงครามโบชิน ที่เป็นสงครามใหญ่ของประเทศ มีเหล่าซามูไรพลีชีพมากมาย ณ ที่แห่งนี้ เป็นปราสาทที่สวยงาม ด้านบนสุดสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองได้แบบ 360 องศาเลยนะ ในฤดูหนาวแบบนี้ วิวสวยมากเลยล่ะ

ลานสนามหญ้าด้านทางขึ้นปราสาท เหมาะสำหรับเดินเล่นและถ่ายภาพมุมกว้าง ในช่วงดอกซากุระบานในกลางเดือนเมษายน ตรงนี้คือมุมถ่ายรูปที่สวยงามมาก ฟุคุชิมะมีแหล่งชมซากุระมากมายที่ดังระดับประเทศ หนึ่งในนั้นคือ ที่ปราสาทสึรุกะแห่งนี้ (ราว กลางเดือนเมษายน)

ศาลเจ้าภายในบริเวณปราสาทสึรุกะ ชื่อ Tsurugajo Inari Shrine เป็นศาลเจ้าแห่งการขอพรเพื่อให้ประสพความสำเร็จด้านการสอบด้วยนะ ใครที่กำลังเตรียมตัวสอบอยู่ต้องลองมาขอพรกัน

Tsuruga castle

ในเส้นทางนี้เราใช้ตั๋วลดราคา ” Ouchijuku Common Discount Ticket ” ที่ขายโดยรถไฟ Aizu เส้นทาง สถานี Nishi Wakmatsu-สถานี Aizu Tajima / พาสในส่วนของรถไฟ มีอายุ2วัน + นั่งรถบัสย้อนยุค “Saruyu-gou” ซึ่งนั่งรถบัสจากสถานี Yunokami Onsen – หมู่บ้านโออุจิจุกุ /ในส่วนของรถบัส มีอายุ 1 วัน

(ราคาพาส: 2200 เยนสำหรับผู้ใหญ่/ 1100 เยนสำหรับเด็ก) กรุณาติดต่อสอบถามที่สถานี (สามารถซื้อได้ในสถานี)

>>website

วิวระหว่างทางสวยมากๆ เป็นความงดงามที่ธรรมชาติมากๆ ฟุคุชิมะเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเลยนะ

จากนั้นลงรถไฟที่สถานีสุดคลาสสิก Yunokami Onsen ที่เป็นสถานีหนึ่งเดียวที่เป็นหลังคามุงด้วยหญ้า แถมมีออนเซ็นแช่ขาด้วย อะไรจะรู้ใจกันขนาดนี้ นั่งรอรถไฟหนาวนะเออ เนอะ

แล้วเราก็ไปรถบัสที่จอดด้านข้างสถานีเลยนะ รถบัสบริการรับและส่งไปยังหมู่บ้านโออุจิจุกุ นั่งได้ทั้งขาไปและขากลับ ดังนั้นเก็บตั๋วดีๆนะ ซื้อได้ที่รถบัสตอนจะขึ้นเลย ส่วนตารางเวลา มีอยู่ที่ด้านหลังตั๋วและที่ป้ายรอรถบัส

มุมมหาชนที่ใครมาแล้วก็ต้องปีนขึ้นมาให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็เหมือนไม่ได้ถ่ายภาพหมู่อย่างไรก็ไม่รู้ ฮา หมู่บ้านโออุจิจูกุ เป็นหมู่บ้านโบราณที่คงทัศนียภาพในสมัยก่อนไว้อย่างเดิมและอย่างดี ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียง เพราะค่อนข้างสวย สมบูรณ์ และมีสินค้า อาหารพื้นเมืองขาย ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด

แล้วนะ มาแล้วก็ต้องมาชิมเนกิโซบะ คือก็เป็นโซบะที่มีทั้งแบบทานร้อนและทานเย็น ตามความพอใจเลย แล้วเค้าจะเอาก้านต้นหอมขาวมาให้หนึ่งอัน ก็ต้องลองเกี่ยวขึ้นมากินค่ะ ฮ่าๆ ยากนะเนี่ย แต่มันสนุกมาก แต่ถ้าไม่ไหวแล้ว ก็หยิบเอาตะเกียบมาคีบเลยจ้า แล้วกัดต้นหอมเอา หวานๆดีนะ

สำหรับคืนนี้ เรานั่งรถไฟมายาวหน่อยนะ ก็นั่งจากสถานี Yunokami Onsen มาลงที่สถานี Aizu Tajima แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟขบวน Liverty ที่นั่งสบายมากๆ มี Free Wifi มีห้องน้ำ

ด้านในใหม่ เบาะสวยเลยล่ะ ชอบตรงที่เบาะกว้างและในโต๊ะพับถึงสองอัน ทำให้ทำงานก็สะดวก นั่งทานข้าวก็ง่าย ป้ายไฟบอกจุดหมายที่จะลงมีทั้งภาษาญี่ปุ่น อังกฤษและเกาหลี และมีทั้งเสียงประกาศหลายภาษา

ก่อนที่จะมาเปลี่ยนขบวนเพื่อนั่งรถไฟแบบพิเศษ Liverty ของรถไฟโทบุ เพื่อนมาลงที่สถานี Aizu Kogen แล้วให้รถเรียวกังมารับเลยจ้า เพราะคืนนี้เราจะไปนอนดูดาวกับที่พักกลางหุบเขาที่เรียวกัง ชื่อ Azuki Onsen Kaboku no Yado เป็นเรียวกังที่วิวรอบข้างสวยมาก ดูความน่ารักของเจ้าของเรียวกังและพนักงานสิคะ ใจดีสุดๆ

ความพิเศษของที่นี่คือ ถ้าในช่วงฤดูหนาวในปีที่หิมะตกหนักนั้น ที่นี่มีการปั้นตุ๊กตาหิมะและคามาคุระ(บ้านเอสกิโม)ด้วยนะ และที่สุดของที่สุด ต้องยกให้อาหารค่ำเลยค่ะ เพราะว่าอร่อยมากถึงมากที่สุด อะไรที่เคยทานมา…มาเจอรสชาติของที่นี่แล้วจะติดใจเลย โดยเฉพาะข้าวสวยที่นุ่มและมีกลิ่นละมุน เมนูทุกอย่างถูกจัดเสิร์ฟถูกช่วงเวลา ทำให้ทานได้แบบไม่ขาดช่วงเลย ในภาพนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะ

บรรยากาศภายในห้องพักยามเช้าที่สว่างสดใสมาก ด้านนอกจะยังคงเห็นหิมะสีขาว ด้านในอุ่นสบาย เป็นวิวที่สบายตาและสบายใจเหมาะในการมาพักผ่อนจริงๆ

Azuki Onsen Kaboku no Yado

เช้านี้ เดินทางกันต่อ เรามาทำกิจกรรมบันเทิงเริงใจ ออกกำลังกายเบาๆกันหน่อยด้วย สโนว์ชูส์ หรือ การใช้รองเท้าเพื่อเดินบนหิมะ รองเท้ามีความพิเศษมาก เกาะจับหิมะไว้ทำให้เราไม่ลื่นเลย ไกด์นำทางจะช่วยดูแลอำนวยความสะดวกและปลอดภัยให้เราตลอดเวลา เราต้องเปลี่ยนชุดสกีและรองเท้าบูทยางนะ ทั้งหมดนี้มีให้เช่าและยืมที่ลานสกี Aizu Kogen Takasue Ski Resort เช้าเดินป่า หากมีแรง ในช่วงบ่ายเล่นสกีต่อก็ได้ ยิ่งสนุกสุดๆไปเลย

ไกด์นำทางจะช่วยดูแลเราตลอดการทำกิจกรรม ตั้งแต่ช่วยสอนการใส่รองเท้าให้ ดูแลความปลอดภัย ช่วยถ่ายภาพ และแนะนำให้สังเกตรอยเท้าสัตว์ต่างๆที่อยู่บนหิมะ ว่านี่คือกระต่าย หรือ สุนัขจิ้งจอก

ส่วนเรา นอกจากจะเดินช้า ถ่วงเวลาทุกคนแล้ว ก็ยังมีความเล่นหิมะตามทางได้ด้วย ฮ่าๆ แต่มันสนุกจริงๆนะ แม้จะเหนื่อยตอนเดินขึ้นเนินก็ตาม

ลานสกีที่นี่มีถึง 14 คอร์ส แล้วใกล้กันก็มีที่พักแรมด้วยนะ มาเล่นสกีแล้วยังได้ทำกิจกรรมอื่นด้วย ดีจริงๆ แล้วมีโรงเรียนสอนสกีด้วยนะ ใครอยากลองเล่นก็มาได้เลย มีทั้งร้านอาหารและร้านขายสินค้าที่ระลึก เอาแค่วิวห้องทานอาหารก็พอใจละจ้า ไม่ต้องไปไหนก็ได้ละ

Aizu Kogen Takatsue Ski Resort

เย็นนี้เรามีแพลนมาดูไฟประดับกันที่ Heike no sato โดยเราต้องนั่งรถไฟ มาลงที่สถานี Yunishigawa onsen ของสาย Yagan Tetsudo ก่อน เพื่อให้ที่พักมารับเรา สำหรับสถานีนี้ เป็นสถานีที่ค่อนข้างมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาตลอดเพราะเป็นจุดรับส่งแขกของเรียวกังและโรงแรมแถวนี้ ระหว่างรอเวลา มีออนเซ็นแช่เท้าด้วยนะ

ปกติจากที่พัก เราสามารถให้เค้ามาส่งเพื่อมาเที่ยวงานเทศกาลคามาคุระแถบนี้ได้นะ หรือจะมาโดยรถบัสประจำทางก็ได้ สอบถามได้ที่พักเลยจ้า ตอนนี้เราจะไปเที่ยวกันที่ Heike no sato เพื่อเดินชมบ้านกระท่อมสมัยก่อน ที่มีทั้งบ้านทรงโบราณและการปั้นหิมะ และประดับเทียน แปลกตาและสวยงามดีนะ คนไหนมีรถยนต์ไปสะดวกมากๆเลย

ภายในบ้านมีการจัดแสดงสิ่งต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นในอดีต ทำให้เรารู้ว่า ภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนนั้น ช่างน่าชื่นชมแค่ไหน

Heike-no-Sato

ส่วนคืนนี้เราจะเดินทางเข้ามาพักที่อื่นต่อ แต่ๆ ระหว่างที่เราเดินทางนั้นเราจะจอดแวะที่ เพื่อดูการประดับไฟเทศกาลคามาคุระริมแม่น้ำ ที่งาน Mini Kamakura Light Up เป็นการประดับไฟริมแม่น้ำ Yunishi

และใกล้ๆกันก็จะมีบ้านคามาคุระขนาดใหญ่ด้วยนะ แต่ด้านในต้องสำหรับผู้จองไว้เท่านั้น ใครไม่ได้จองก็ดูด้านนอกได้ สนุกเพลินเหมือนกัน

Mini Kamakura Light Up

คืนนี้เราได้จองที่พักไว้ที่ Asaya Hotel ขอบอกๆ ว่าเดินเข้ามาปุ๊บ ถ้าไม่ได้อ่านป้ายว่านี่คือโรงแรมจะคิดว่ามันคือห้างสรรพสินค้าเลยล่ะ เพราะว่าใหญ่สูงมาก ราวกับอยู่คอนโดมีเนียม ฮ่าๆ ที่สวยและดังมากๆ น่าจะเป็นบ่อแช่ออนเซ็นแบบเอาท์ดอร์ที่มองเห็นดวงดาวอย่างสวยเลย ส่วนชั้น 3 ก็มีทั้งคาราโอเกะ บาร์ ห้องเกมส์ ชั้น 5 มีคาราโอเกะบอกซ์ คือนั่งได้ 2-3 คน

มุมอาหาร อลังการจนต้องลุกไปตักสามรอบ ท้องมันร้อง …แม่จ๋า หิวๆ เอามากินอีกๆ … ขัดใจไม่ได้ จัดไปจ้า ซาชิมิสองรอบเลย อะไรจะดีเลิศขนาดนี้ อยากอยู่สักสามคืนเลย

หม้อไฟขาปูจ้า และยังมีเมนูอื่นๆ ที่เป็นแบบ Live Kitchen คือมีพ่อครัวปรุงอาหารให้สดๆเลย ในอีกหลายโซนมาก ทานให้เต็มที่ เพราะเค้าจัดให้เราเต็มที่เหมือนกัน

Asaya Hotel

เช้านี้ออกเดินทางต่อเพื่อเข้าโตเกียว โดยรถบัสของโรงแรมไปส่งที่สถานี Kinugawa Onsen แต่ความพิเศษของการเดินทางในวันนี้คือเราจะเดินทางกันด้วยรถไฟขบวนพิเศษเรียกว่า SL Taiju เป็นรถไฟสุดคลาสสิกที่เป็นขวัญใจคนญี่ปุ่นมากๆ โดยเฉพาะเด็กๆและช่างภาพ ที่เราจะเห็นตามข้างทางมากมายที่รอตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพ

เบนโตะของมื้อนี้ก็ต้องพิเศษให้เข้ากับรถไฟด้วยเช่นกัน ฮ่าๆ น่ารักเนอะ ด้านในมีของแถมเป็นช้อนสวยงามเลยล่ะ

ใช้เวลา ราว 2 ชั่วโมงครึ่ง เราก็เดินทางมาถึงสถานีอาซาคุสะ จากนั้นเราก็ทัวร์กันต่อเลย ใครทราบบ้างเอ่ย ว่าใกล้สถานีอาซาคุสะนี้ก็มีที่ทำงานแก้วด้วยนะ แบบที่มีลวดลายสวยงามบนผิวแก้ว มาที่ร้าน Soukichi Inc กันเลย เดินไม่ไกลจากสถานีรถไฟโทบุ อาซาคุสะ

ด้านในมีแก้วที่ถูกออกแบบอย่างสวยงามมากมาย ทั้งแก้วไวน์ แก้วสาเก แก้วน้ำ แก้วแชมเปญ และอุปกรณ์สำหรับชงค็อกเทล

Soukichi Inc

ออกจากร้านแก้วแล้ว เราก็ไปเช็คอินที่โรงแรม Richmond Hotel กัน โรงแรมที่นี่ทำเลดีมาก ออกมาจากโรงแรมแล้วก็เป็นบริเวณเดินช้อปปิ้ง ซื้อของ และเดินเที่ยวในวัดเซนโซจิต่อได้เลย เช็คอินด้วยตัวเองก็ได้นะ

มุมอาหารเช้า ดีงงามมากๆ ระหว่างที่ทานอาหารไป เราจะเห็นคนเดินไปวัดเรื่อยๆ เป็นการเห็นวิถีชีวิตของคนเมืองแบบแท้จริง

Richmond Hotel

สำหรับบ่ายนี้ เรามีนัดกันต่อโดยเราจะไปลองทำ คาราเต้! ฟังดูเหมือนจะยากและกลัวนิดหน่อย ฮ่าๆ เพราะไม่เคยทำเลย แต่เจ้าหน้าที่ก็ดูแลอย่างดี อธิบายและพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้เรามั่นใจขึ้นเยอะ

เราสามารถเลือกได้ว่า จะให้เค้าบันทึกวีดีโอหรือเผยแพร่ได้ไหม ขอบอกว่า ให้เค้าบันทึกเถอะ เพราะว่าเอามาดูย้อนหลังแล้ว มันสนุกจริงๆ ฟาดไม่ยั้งจ้า กระเบื้อง 5 แผ่น แตกละเอียดเลย ฮี่ๆเป็นความรู้สึกที่สะใจมากๆ ลองมาดูนะ

Kawarana ( คาราเต้ )

จากนั้นเดินเล่นกันต่อ วัดเซนโซจิในเวลากลางคืน มีการประดับไฟสวยงาม แม้ร้านค้าจะปิดแต่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเสน่ของวัดในยามค่ำคืนก็ยังเดินกันอย่างคึกคัก

ทุกมุมของวัดในยามที่ประดับไฟนั้น ล้วนประทับใจจริงๆ ถ้าใครเคยเดินเที่ยวในตอนกลางวันแล้วต้องมาลองเดินต่อในช่วงค่ำดูนะ แต่ถ้าอยากได้รูปมุมสูง ก็ต้องขึ้นไปที่ตึก ศูนย์การท่องเที่ยวและวัฒนธรรมแห่งอาซาคุสะ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด

asakusa culture tourist information center

ก่อนจะกลับเข้าโรงแรม ตรงกันข้ามคือ Marugoto Nippon まるごと　にっぽんซึ่งเป็นเสมือนจุดรวบรวมของฝากจากหลายจังหวัดทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะจะมีทุกภูมิภาคเลย ด้านบนมีทั้งร้านอาหารอร่อยๆ และซูเปอร์มาร์เก็ต

แล้วด้านบนนี้ยังมีมุมให้เราได้ลองประสบการณ์ทำงานฝีมือต่างๆด้วยนะ เราจะได้เรียนรู้ว่าศิลปะและงานฝีมือแบบญี่ปุ่นนั้น เค้าทำกันแบบไหน ราคาแตกต่างออกไปตามอุปกรณ์และความยาก

Marugoto Nippon

ข้อสรุป

เป็นทริปเที่ยวโตเกียว ไอสุ นิกโก้ที่ได้ครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรียวกังสุดสบายอาหารอร่อย ที่เที่ยววิวสวยมากๆ และได้ลองทานอาหารพื้นเมือง เทศกาลประจำปี กิจกรรมสุดมันส์ ได้เดินทางด้วยรถไฟคลาสสิกและกลับมาช้อปปิ้งของฝากพร้อมถ่ายภาพสนุกสนานที่อาซาคุสะ