ใครอยากอ่านเกี่ยวกับระบบของการส่งกระเป๋าจาก Luggage Free Travel อ่านจากที่นี่ได้
Luggage Free Travel รับส่ง – ฝากกระเป๋า ญี่ปุ่น ปลดปล่อยอิสระแห่งการเดินทาง
อ่านเลย!!
เมื่อเรามาถึงสนามบินนาริตะ ผ่านขั้นตอนของศุลกากรเรียบร้อยแล้ว เริ่มทริปกันเลยจ้า ญี่ปุ่นจ๋า พี่มาแล้วววว เดินหาเคาท์เตอร์ที่มีสัญลักษณ์ของ Luggage Free Travel หรือ GPA ได้เลย ณ เทอร์มินอล 2 นี้ต้องไปที่ขนส่งของยามาโตะหรือแมวดำนั่นเอง
โดยเราเอาบาร์โค้ดที่ได้จากการลงทะเบียนและจองล่วงหน้ามาแล้ว มายื่นให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อดำเนินการส่งของให้ต่อไป แต่ถ้าใครเพิ่งตัดสินใจว่าจะส่งปุบปับ เจ้าหน้าที่บอกว่าจะยืนลงทะเบียนจองตรงนี้ก็ได้ครับ ฮ่าๆ ง่ายจริงจริ๊ง
** พิเศษสุด ถ้าใช้โค้ดนี้ th190807 ในการจอง จะได้ส่วนลดถึง 20%เลยนะ พร้อมแล้วเข้าไปจองที่เวบไซต์นี้เลย
Luggage Free Travel
รับส่ง – ฝากกระเป๋า ญี่ปุ่น ปลดปล่อยอิสระแห่งการเดินทาง
** โดยส่วนลดพิเศษนี้ใช้ได้สำหรับสัมภาระที่ถูกส่งและถึงที่หมายภายในไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2563
เจ้าหน้าที่จัดการรับกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว (ส่งไปนาโกย่า) สิ่งที่เราต้องเตรียมสำหรับคืนนี้คือ เสื้อผ้าแค่สำหรับใส่วันพรุ่งนี้และเครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัวนิดหน่อยเท่านั้น บอกเลยว่า ดิชั้นเป็นคนง่ายๆใส่เสื้อผ้าซ้ำได้ ไม่ถือค่ะ แล้วลงไปชั้นล่างของอาคารเพื่อขึ้นรถไฟไปเที่ยว ! เรื่องเที่ยวขอให้บอก ไวมากค่ะ จะไปด้วยรถไฟJR หรือสาย Keisei ก็ตามแต่พาสที่มีเถิด
จะนั่งสายไหนก็ตาม สถานีที่จะต้องลงคือสถานีนาริตะ วันนี้คือเราใช้บริการของเจอาร์
แล้วเดินมาถนนด้านหน้าสถานี ข้ามทางม้าลาย เลี้ยวมาทางถนนด้านซ้ายมือ ปักหมุดการเดินทางที่วัด Naritasan Shinshoji ระหว่างทางเดินอันยาวไกลนั้น จะมีร้านค้าเรียงรายไปตามทางแบบนี้ แวบทุกที่ๆมีของอร่อย
ร้านข้าวหน้าปลาไหลที่ดังมาก Kawatoyo-川豊 คิวเยอะแต่ใจสู้ รอก็รอ
ระหว่างที่ได้บัตรคิวรอเรียกตามกลุ่มหมายเลขเพื่อเข้าร้านอยู่นั้น ก็ชมการแล่ปลาไหลสดๆที่หน้าร้านได้เลย ใครขวัญอ่อน เอามือปิดตาด้วยนะ แต่น่าดูจริงๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน แล่กันทั้งวันเพราะขายดีเหลือเกิน
เซ็ทนี้ราคาเป็นมิตรที่สุดแล้ว ราคา 2700 เยน +น้ำซุป 100 เยน แต่รสชาติภัตตาคารเลยจ้า ชิมคำแรก กรีดร้องเบาๆคนเดียว อร่อยมากกก กลิ่นของปลาไหลที่ย่างร้อนๆ ควันฉุยๆ ราดด้วยน้ำซอสรสออกหวานนิดๆ เข้ากันมากๆ ละมุนลิ้นที่สุด
จากนั้นเดินทางไปยังวัดนาริตะซันต่อ ไปอีกไม่ไกลเลยก็ถึงแล้วจ้า สัมภาระน้อย จะเที่ยวยังไงก็ง่าย
เข้าไปในวัดกันเลย ภายในวัดนาริตะซัน ชินโชจิ กว้างมาก มีทั้งวิหารเก่าและใหม่ สวนนาริตะซัน ป่า น้ำพุ น้ำตกและลำธาร สามารถรับแผ่นพับแผนที่ภาษาอังกฤษจากเจ้าหน้าที่ตรงห้องที่ขายเครื่องราง เราใช้เวลาที่นี่อยู่สักพักใหญ่ๆเลย
วิหารแห่งความสงบสุข สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1984 สูง 58 เมตร ด้านในมีถึง 5 ชั้น จุดนี้คือเดินไปด้านบนสุดเลยนะถึงจะเจอวิหารนี้
ด้านล่างลงมาจะเป็นสวนนาริตะซันแล้ว นึกว่าหูฝาดเพราะได้ยินเสียงน้ำตก ว้าย น้ำตกจริงๆด้วย ธรรมชาติดีงาม มีลำธารน้ำไหลผ่านตลอดเวลา
วัดนาริตะซัน ชินโชจิ
ที่อยู่ | 1 Narita, Chiba 286-0023 |
---|---|
วิธีเดินทาง | การเดินทางจากสนามบินนาริตะ ด้วยรถไฟสาย JR และ Keisei ใช้เวลาเดินทาง 11 นาที แล้วเดินต่ออีก 15 นาที |
เวลาทำการ | 8.00 -16.00 |
Website | วัดนาริตะซัน ชินโชจิ |
ได้เวลาแล้วก็เดินทางต่อ จากสถานีนาริตะไปลงที่สถานีอูเอโนะจากนั้นเปลี่ยนขบวนใต้ดินเป็นสาย Ginza ลงที่สถานีอาซาคุสะ เดินขึ้นด้านบนด้วยทางออก 1 เลยจ้า
ใช่แล้วเรามาที่วัด เซ็นโซจิหรือวัดอาซาคุสะที่นิยมเรียกกันนั่นเอง เป็นวัดที่ใส่ชุดกิโมโนถ่ายรูปด้วยแล้วสวยมาก
น้องสองคนนี้วานให้เราช่วยถ่ายรูปให้ พอถ่ายเสร็จพี่เลยขอน้องถ่ายรูปกลับบ้าง น้องบอกว่า ได้เลยก๊ะ
และแล้ว เมื่อได้เวลาพลบค่ำ เราก็ตั้งใจจะไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่โอไดบะ ที่เค้าว่ากันว่าโรแมนติกเหลือเกิน แต่ไม่ไปรถไฟจ้า นั่งเรือสัญจรไปเล้ย สะดวกสบายและเป็นที่นิยมมากๆ เพราะล่องไปตามแม่น้ำสุมิดะไปเรื่อยๆ และใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง ถือว่าพักผ่อนไปในตัว ตรวจเช็ครอบเรือ Tokyo cruise ได้ที่นี่ ท่าเทียบเรือก็ตรงริมสะพานข้ามแม่น้ำสุมิดะ ใกล้ๆวัดอาซาคุสะนี่เอง
ลำนี้ ชื่อ ฮิมิโกะ ชื่อเรือเพราะกว่าชื่อเราอีก ฮ่าๆ ถ้าอยากได้แบบดูวิวด้านบนดาดฟ้าเรือได้ด้วย ต้องนั่งเรือ Hotaluna
ใครเค้ามากันเป็นคู่ก็มองข้ามๆไป จะได้ไม่ต้องปวดใจ ชีวิตไม่ต้องแบกทุกข์แบกแค่เป้ใบเดียวพอ
เดินขึ้นมาบนฝั่งห้าง โอ้ยหนอ หัวใจดวงโตเลย เชื่อแล้วว่าที่นี่โรแมนติกแค่ไหน
พอค่ำหน่อย อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพก็ประดับไฟหลากหลายสี ถ่ายภาพจนเพลิน เผลอนึกว่านั่งเรือมาโผล่น่านน้ำอเมริกา
เดินย้อนมาด้านหน้าห้าง Diver city ก็เจอหุ่นยูนิคอร์นกันดั้ม กำลังประดับไฟในโทนสีชมพู
จากนั้นเดินทางท่องราตรีต่อ เพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกล นั่งรถไฟจากสถานี Tokyo teleport มาลงที่สถานีชิบูยะ ด้วยทางออก Hachiko exit แล้วจะเจอห้าแยกอันวุ่นวายสุดๆแบบนี้ เอ่อ..หาทางม้าลายไม่เจอ อยู่ไสจ๊ะ พอดีเป็นคนเคร่งกฏจราจร
พอไฟแดง ก็ยืนเงียบสงบเรียบร้อยกันดีนะ นึกถึงบรรยากาศยืนตรงเคารพธงชาติ
และค่ำคืนนี้ เราจะกลับมาพักผ่อนพักเหนื่อยที่โรงแรม Hotel Villa Fontaine Tokyo-Nihombashi Mitsukoshimae ใกล้สถานีโตเกียวนี่เอง เพื่อที่ให้ทริปวันพรุ่งนี้ เดินทางได้ง่ายขึ้น
เช้านี้ เราเริ่มทริปแต่เช้าที่พระราชวังอิมพีเรียลก่อน แต่เราดูได้แค่ภายนอกเท่านั้น คือวิวตรงสะพานนิจูบาชิ หรือสะพานแว่นตายอดนิยม
แล้วเดินกลับมาที่สถานีโตเกียว สถานีที่มีตึกสวยราวยุโรป วิวจากมุมนี้คือเราต้องไปถ่ายรูปที่บนชั้นดาดฟ้าของห้าง Kitte ด้านข้างสถานีนะ
ตอนนี้ทุกคนที่นี่ตั้งตารอต้อนรับโอลิมปิกกัน นับถอยหลังกันแล้ว
แล้วเราไปขึ้นสายรถไฟยามาโนเตะ เพื่อลงที่สถานีฮามามัทสึโจ แล้วมาถ่ายรุปมุมนี้เลยจ้า มาหลายคนก็แท็กซี่เลยแป๊บเดียว จะบอกว่าคนแรกที่เห็นมุมนี้น่าจะมาจากคนที่เอารถไปจอดตรงที่เช่าจอดรถนะ เพราะมันคือช่องบันไดของลานจอดรถขึ้นมาด้านบนพื้นดิน ฮ่าๆ คือนั่งไป งงไป
แต่มุมนี้สวยจริงๆนะ
ทริปวันนี้เราจะเที่ยวให้คุ้มด้วยการนั่งรถไฟสายยามาโนเตะ ตอนนี้เรามาแวะที่สถานีฮาราจูกุ จากสถานีให้มาทางออก Takeshita exit ง่ายที่สุด ออกมาแล้วข้ามถนนก็เจอทางเข้าที่นี่เลย ช้อปปิ้งกันเร้ววว
มาถึงแหล่งของช้อปของกิน ก็ต้องไม่พลาดชานมไข่มุก ดื่มเพื่อความสบายใจ
มองดูนาฬิกา โอ๊ย ยังมีเวลา ไปเดินเล่นชินจูกุสักหน่อยดีกว่า กลับขึ้นรถไฟเหมือนเดิม นั่งไปลงสถานีชินจูกุ ทางออก East exit เลยจ้า มาทักทายพี่ก็อตซิลล่ากันหน่อย
ที่ชินจูกุ นอกจากจะช้อปปิ้งสนุกแล้ว มีตู้เกมส์ด้วยนะ เอาใจเด็กๆบ้าง( คือตัวดิชั้นเอง)
แล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไกลกันแล้ว กลับคืนสู่สถานีโตเกียวกันต่อเพื่อเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นไปสถานีนาโกย่า ซึ่งใช้เวลาเดินทางแค่ราว 2 ชั่วโมง เมื่อมาถึงสถานีนาโกย่า ก็เดินตามป้าย Subway จ้า
เราจะไปหาโรงแรมที่พักคืนนี้กัน ด้วยรถไฟใต้ดินสาย Higashiyama ลงสถานี Sakae เพื่อไปพักที่โรงแรม Nagoya Tokyu Hotel(ขึ้นมาทางออก12) เหตุผลที่เลือกพักที่นี่เพราะว่าเป็น 1 ใน 5 ของโรงแรมของ Luggage Free Travel ที่เราจะทำการรับ-หรือส่งกระเป๋าเดินทางต่อได้อีก
*ค้นหาชื่อโรงแรมอื่นๆได้จากที่นี่ ที่นี่
ขอบอกว่าทำเลที่ตั้งโรงแรมนี้ดี๊ดี เพราะตอนเย็นเราไปเดินเล่นที่อาคารโอเอซิส 21 ก็ได้ ไม่ไกลจากที่พักมาก
ด้านบนบรรยากาศดีมาก มีการบรรเลงเพลงเบาๆ แสงไฟที่พื้นมีสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สีขาวบ้าง ฟ้าบ้าง เขียวบ้าง ถ้ากระพริบเป็นจังหวะเร็วกว่านี้อีก จะมีคนบางคนลุกมาเต้นละ
มุมนี้นะ ถ้านาโกย่า ทีวีทาวเวอร์เปิดไฟแล้วล่ะก็จะต้องสวยมากๆ เราใช้เวลานั่งที่นี่ราวชั่วโมงกว่าๆเลย เพลินมาก ด้านล่างของอาคารนี้ยังเป็นทั้งร้านอาหารและจุดขึ้นรถบัสทางด่วนไปที่ต่างๆ เช่น สนามบิน ชินจูกุ เซนได เป็นต้น
Oasis 21
ที่อยู่ | 1-11-1 Higashisakura, Higashi, Nagoya |
---|---|
วิธีเดินทาง | Subway Higashiyama/ Meijo-Line ลงที่ สถานี Sakae Exit 4 Meitetsu ลงที่ สถานี Sakae-Machi |
เวลาทำการ | 10.00 – 22.00 |
Website | Oasis 21 |
และสำหรับทริปของวันที่ 3 เช้านี้เราจัดส่งกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ล่วงหน้าไปรอที่โรงแรมในโอซาก้า เพราะวันนี้เราจะเที่ยวนาโกย่าต่ออีก 1วันเต็มๆ โรงแรมในเครือข่ายของ Luggage Free Travel นี้ดีมาก เค้าจะบริการส่งสัมภาระของเราต่อกันด้วยระบบที่ดี ตรวจสอบง่าย สื่อสารง่ายเพราะเราคุยแต่กับเจ้าหน้าที่โรงแรมก็ได้ คิดค่าใช้จ่ายชัดเจน เอาเป็นว่าไม่ต้องหอบอะไรหนักๆไปสถานีรถไฟอีกแล้ว
บ๊ายบาย ไปนอนรอพี่ที่โรงแรมข้างหน้าเลยนะน้อง
ตัวเบาหวิวแล้ว ใจก็ฮึดออกเที่ยวต่อ มาทั้งทีก็เที่ยวให้คุ้ม เริ่มต้นด้วยสวนญี่ปุ่นที่ Sukiya cafe ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ฟุรุคาว่า บรรยากาศดีมากๆ
มีค่าเข้า700 เยน แต่เราจะได้ชุดเครื่องดื่มและขนมญี่ปุ่นมานั่งทานในคาเฟ่ คือด้านในก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดวางจานชาม และตกแต่งห้องสวยมาก ด้านในห้องถ่ายรูปไม่ได้ ถ่ายได้แค่วิว
แค่นี้ก็สุขใจมากแล้ว ฟังเพลงเบาๆ มีความสุขที่สุด
ตั๋วที่ได้รับมา เอามายื่นด้านในเพื่อขอรับขนมและเครื่องดื่มมาทาน กาแฟดำแต่เติมความหวานด้วยถั่วแดงบด เพิ่งเคยทานเหมือนกัน พนักงานเค้าสอนวิธีทานมา
วิวด้านนอก ถ้าใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่คงจะสวยเกินคำบรรยาย ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย แค่เป้ใบเดียวจะเที่ยวแบบไหนก็ได้ ฮ่าๆ
Sukiya Cafe – Furukawa Art Museum
ที่อยู่ | 2-50 Ikeshitacho,Chikusa-ku,Nagoya-shi,Aichi-ken 464-0066 |
---|---|
วิธีเดินทาง | Subway- Higashiyama line ลงสถานี Ikeshita |
เวลาทำการ | 10.00 – 17.00 ( last order 16.30) วันหยุด วันจันทร์ |
โทรศัพท์ | 052-763-1991 |
Website | Furukawa Art Museum |
จากที่นี่ เราก็เดินทางต่อ ในทริปนี้เราใช้รถไฟใต้ดินทั้งหมด คราวนี้เรามาเที่ยวกันต่อที่ปราสาทนาโกย่า เดินทางง่ายมากๆ แต่เราเจอศาลาว่าการหลักของเมืองนาโกย่าก่อน สวยและมีเอกลักษณ์ที่สุด
มุ่งหน้าต่อไปยังตัวปราสาทนาโกย่า จากสถานีรถไฟเดินต่อไปราวเกือบ 10 นาที เพราะที่นี่มีพื้นที่กว้างมาก ยังไม่ทันได้ถึงปราสาทด้านใน เจอนินจาหนุ่มก่อนเลยจ้า เจ๊ยอมแล้ววว จับตัวเจ๊ไปเลย nowww
วันนี้ เราได้ขอให้มีคนพาเที่ยวด้วยนะ เป็นไกด์อาสาสมัครภาคภาษาอังกฤษ และฟรีจ้า คุณลุงใจดีมาก บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างมากมายให้เราฟังจนเพลิน
แนะนำแม้กระทั่งว่า กระบอกไม้ไผ่ที่อยู่หน้าร้านน้ำชานี้ เมื่อเราเทน้ำลงไปที่พื้นหินด้านล่าง ให้เราเงี่ยหูฟังที่รูกระบอกไม้ไผ่ เราก็ทำตาม โอ้โห ได้ยินเสียงน้ำใสแจ๋วที่ค่อยๆรินไหลลงไปช้าๆ แต่เสียงชัดกังวานมาก
ส่วนของอาคารพระราชวังฮอมมารุ Hommaru Palace นั้น คือการจำลองความงดงามย้อนประวัติศาสตร์ไปในสมัยเอโดะ ที่นี่ใช้ว่าราชการ หรือรับแขกบ้านแขกเมือง และเป็นที่พัก ให้สังเกตภาพวาดตามฝาผนังคือการจำลองจากของเดิมมาเลย และลวดลายหรือโทนสีของห้องต่างๆก็บ่งบอกว่าห้องนี้สำหรับทำงานหรือเป็นห้องพัก
ปราสาทนาโกย่า สวยและสง่างามที่สุด
ปราสาทนาโกย่า
วิธีเดินทาง | – Meijo Line ลงที่ M07 Shiyakusho (City hall) – Tsurumai Line ลงที่ T05 Sengencho – Meitetsu Seto Line ลงที่ Higashi-ote |
---|---|
เวลาทำการ | 9.00 -16.30 ( ปิดรับเวลา 16.00 ) วันหยุด 29 ธันวาคม – 1 มกราคม |
ราคา | ผู้ใหญ่ 500 เยน |
ปราสาทนาโกย่า |
ก่อนที่เราจะย้ายเมือง เรายังพอมีเวลาหาอะไรทานก่อน นึกได้ว่ามีวัดโอสุ คันนอน (วัดแห่งพระโพธิสัตว์) ที่เดินทางจากปราสาทนาโกย่าไปก็ง่ายมาก เราเลยเดินทางไปต่อทันที ทางเข้าก่อนจะไปถึงตัววัด ต้องผ่านถนนช้อปปิ้งที่เป็นย่านเก่าแก่ ได้บรรยากาศสมัยเก่าไปอีกแบบ ( เค้าเปรียบว่า ที่นี่ก็เหมือนอาคิฮาบาระของโตเกียวเชียวนะ ว้าว )
ด้านล่างของอาคารหลักวัดเป็นห้องสมุดที่รวบรวมคัมภีร์โบราณในภาษาญี่ปุ่นและจีน รวบรวมกว่า 15,000 เล่ม ซึ่งหลายๆเล่มก็ถูกจัดขึ้นทะเบียนให้เป็นสมบัติของชาติด้วย
โคมแดงของวัด เก่าและดูขลังมากๆ กวักควันอันศักดิ์สิทธิ์เข้าที่หัวของตัวเองสักพัก ตามความเชื่อว่าจะทำให้เกิดสติปัญญาอันชาญฉลาด แล้วถึงเดินทางกลับสถานีนาโกย่า
Osu Kannon Temple
เวลาทำการ | ร้านค้า 11.00 – 20.00 |
---|---|
Website | awomb |
พอถึงสถานีนาโกย่า ระหว่างรอขบวนรถไฟเพื่อไปเกียวโตต่อนั้น เราก็ไปนั่งจิบกาแฟและขนมหวานก่อน น่ารักจังเลยลูก พุดดิ้งลูกเจี๊ยบตัวนี้เรียกว่า ปิโยริน อยู่แถวร้านขายของฝากก่อนเข้าเกทรถไฟชินคันเซ็น ตอนที่พนักงานถือมาเสิร์ฟ เค้าบอกว่า. ..ปิโยรินมาแล้วก๊ะ… โอ๊ยใครจะกล้ากินละเนี่ย ฮ่าๆ ป้าขอโทษเพราะป้าก็หิว
พิเศษสุด สำหรับใครที่จะจองใช้บริการรับ – ส่งกระเป๋าที่ญี่ปุ่น กับ LUGGAGE FREE TRAVEL เพียงแค่ใส่รหัส th190807 รับส่วนลดไปเลย 20% โดยส่วนลดพิเศษนี้ใช้ได้สำหรับสัมภาระที่ถูกส่งและถึงที่หมายภายในไม่เกินวันที่ 31 มีนาคม 2563 Website ในการจอง
Luggage Free Travel
รับส่ง – ฝากกระเป๋า ญี่ปุ่น ปลดปล่อยอิสระแห่งการเดินทาง