ชวนทำความรู้จัก “อิบารากิ” กันก่อน
สำหรับจังหวัดอิบารากินั้น เป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้โตเกียวมาก ห่างจากโตเกียวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราวๆ 30 – 150 กม. ตั้งอยู่ทางเหนือของจังหวัดไซตามะและชิบะ เดินทางเพียง 100 กม. ก็จะถึงเมืองมิโตะซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัด ความน่าสนใจคือตัวจังหวัดนี้มีพื้นที่ติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก จึงขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ อีกทั้งยังรายล้อมด้วยทะเล แม่น้ำ ทะเลสาบ และภูเขา ประกอบกับสภาพอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่น ส่งผลให้มีมีความน่าสนใจที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลให้ชมตลอดทั้งปี
นอกเหนือจากนั้นจังหวัดอิบารากิ ยังขึ้นชื่อในเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติอันสมบูรณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ มีทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์ทางทะเล จึงเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย ในอีกมุมนึงอิบารากิเป็นจังหวัดที่เงียบสงบ มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายศตวรรษ ยังคงไว้บรรยากาศบ้านเรือนร้านค้าสมัยเอโดะตอนต้นจำนวนมาก แม้จะอยู่ห่างจากโตเกียวโดยรถไฟเพียงชั่วโมงเดียว แต่ลักษณะเฉพาะแบบชนบทและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี จึงทำให้ที่นี่แตกต่างจากจังหวัดในแถบนี้ที่อยู่ใกล้เคียงอย่างเห็นได้ชัด
การเดินทางมายัง “อิบารากิ”
จังหวัดอิบารากิสามารถเดินทางจากโตเกียวได้ง่ายดาย และอยู่ใกล้กับสนามบินนาริตะ การเดินทางจากโตเกียวจึงมีความสะดวกสบายมาก ประกอบกับที่มีบริการของระบบขนส่งสาธารณะที่มีมากมาย ทั้งรถไฟและรถบัส นอกจากนี้ยังมีสนามบินอิบารากิที่แสนสะดวกสบาย ให้บริการทั้งเที่ยวบินภายในประเทศ และระหว่างประเทศไปยังประเทศจีนและไต้หวันอีกด้วย
แนะนำที่เที่ยว “อิบารากิ” ห้ามพลาด
จังหวัดอิบารากิ เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ มีชายหาดติดมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบด้วยพื้นที่ราบกว้างใหญ่ ทะเลสาบ และภูเขา ด้วยสภาพอากาศที่อบอุ่น จึงมีทิวทัศน์และดอกไม้ที่สวยงาม ให้เพลิดเพลินแตกต่างกันไปตามฤดูกาล ดังนั้นเรามาเริ่มต้น ทริปน่าประทับใจในอิบารากิกันเลย
สวนดอกไม้ฮิตาชิ ซีไซด์ ปาร์ค (Hitachi Seaside Park)
สำหรับสายถ่ายภาพดอกไม้แล้ว ปักหมุดที่สวนดอกไม้ในเมืองฮิตาชินากะแห่งนี้ไว้ได้เลย เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของสวนดอกไม้ที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งปี ซึ่งภายในพื้นที่มากกว่า 215 เฮกตาร์นี้จะมอบทัศนียภาพที่สวยงามให้กับคุณ โดยเฉพาะที่เนินเขามิฮาราชิอันกว้างใหญ่จะส่งต่อความงดงามที่แสนตรึงตาตรึงใจให้กับนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศให้สามารถชมความงามของดอกไม้บานได้ตลอดทั้งปี
ช่วงที่แนะนำว่าห้ามพลาดคือการมาชมภาพทุ่งดอกเนโมฟีลาสีฟ้าราวๆ 5,300,000 ต้น ตั้งแต่กลางเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี ส่วนในช่วงกลางเดือนตุลาคม จะพบกับพุ่มต้นโคเชียกว่า 32,000 ต้น ที่พากันเปลี่ยนเป็นสีแดงไปทั่วทั้งบริเวณ ส่วนดอกดอกนาซิสซัส จะบานสะพรั่งช่วงฤดูใบไม้ผลิปลายเดือนมีนาคมถึง ลางเดือนเมษายนของทุกปี
ส่วนดอกทิวลิปที่สวยงามและเท่ไม่เบานี้จะพร้อมใจกันออกดอกช่วงกลาง ถึง ปลายเดือนเมษายน และส่วนดอกกุหลาบ ที่ทำให้บรรยากาศของสวนสุดแสนโรแมนติกราวกับเทพนิยาย แนะนำช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ถึง ต้นเดือนมิถุนายน และปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน นอกจากนั้นยังมีดอกทานตะวัน คอสมอส และดอกไม้สายพันธุ์อื่นอีกมากมาย ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนบานตามฤดูกาล
สวนดอกไม้ฮิตาชิ ซีไซด์ ปาร์ค (Hitachi Seaside Park)
ที่อยู่ | 605-4 Onuma-aza, Mawatari, Hitachinaka-shi, Ibaraki |
วิธีเดินทาง | จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟไปยังสถานี Katsuta ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังสถานี Kaihin Koen Nishiguchi อีกประมาณ 10 นาที |
เวลาทำการ | 9.30 – 17.00 น. |
ราคา | ผู้ใหญ่ 450 เยน, ผู้สูงวัยอายุ 65 ปีขึ้นไป 210 เยน และฟรีสำหรับนักเรียนมัธยมต้นลงไป (บางฤดูกาลอาจมีเปลี่ยนแปลง) |
Website | Hitachi Seaside Park |
สวนไคราคุเอน (Kairakuen Garden)
สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปคือสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำและมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัด โดยสวนแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1842 โดยนาริอากิ โทกุกาวะ ขุนนางศักดินาคนที่ 9 ของอาณาจักรมิโตะในสมัยเอโดะ โดยชื่อ “ไคราคุเอ็น” สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของนาริอากิที่ต้องการสร้างที่นี่ให้เป็นสถานที่ที่เขา เหล่าขุนนาง และบรรดานักรบสามารถเพลิดเพลินกันถ้วนหน้า และสนุกสนานร่วมกันได้ และยังเปิดสำหรับสาธารณชนเข้ามาชมความงามของที่นี่ได้ด้วย สิ่งที่การันตีความน่าสนใจของสวนแห่งนี้ คือเป็นสวนที่ติดอันดับ 1 ใน 3 สวนที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีสวนเคนโระคุเอ็น ในจ.อิชิกาว่า และสวนโคระคุเอ็นในจ.โอคายาม่าด้วยนั่นเอง
สวนไคราคุเอน (Kairakuen Garden)
ที่อยู่ | 1 Chome-3-3 Tokiwacho, Mito, Ibaraki 310-0033 |
วิธีเดินทาง | ขึ้นรถไฟ JR สาย Joban ลงสถานี Kairakuen เดินประมาณ 7 นาที |
เวลาทำการ | กลางกุมภาพันธ์ – 30 กันยายน : 6.00 – 19.00 น. และ 1 ตุลาคม – กลางกุมภาพันธ์: 7.00 – 18.00 น. |
ราคา | ผู้ใหญ่ 320 เยน, เด็ก 160 เยน |
Website | Kairakuen Garden |
ศาลเจ้าโออาไร อิโซซากิ (Oarai Isosaki Shrine)
ศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 856 ด้วยความเชื่อกันว่าเทพเจ้าสององค์เสด็จลงมายังชายฝั่งโออาไรแห่งนี้ โดยเทพเจ้าสององค์นี้คือท่านไดโคคุซามะ เทพเจ้าแห่งการสร้างชาติและความเจริญรุ่งเรืองของชาติ และท่านสุคุนาฮิโกนะ โนะ มิโกโตะ เทพเจ้าแห่งการแพทย์ ศาลเจ้าโออาไร อิโซซากิมีความเกี่ยวข้องกับคามิอิโซ โนะ โทริอิด้วย ซึ่งเป็นประตูศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่าเทพเจ้าเหล่านี้ลงมายังโลก ประตูศาลเจ้านี้ตั้งตระหง่านอยู่บนโขดหินในมหาสมุทรแปซิฟิกและดึงดูดช่างภาพจากทั่วโลกให้มาที่นี่ นอกจากนั้นศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงในหมู่แฟนๆ ของอนิเมะเรื่อง “Girls und Panzer” ซึ่งมีฉากอยู่ในเมืองโออาไรและใช้สถานที่จริงเป็นฉากหลัง แผ่นป้ายสวดมนต์จำนวนมากในศาลเจ้ามีภาพประกอบตัวละครจากอนิเมะที่แฟนๆ ที่มาเยี่ยมชมวาดไว้
ศาลเจ้าโออาไร อิโซซากิ (Oarai Isosaki Shrine)
ที่อยู่ | 6890 Isohamacho, Oarai, Higashiibaraki District, Ibaraki 311-1301 |
วิธีเดินทาง | จากสถานีรถไฟ Oarai ต่อแท็กซี่ประมาณ 6 นาที |
เวลาทำการ | เปิด 24 ชั่วโมง |
ราคา | เข้าชมฟรี |
Website | Oarai Isosaki Shrine |
น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)
น้ำตกนี้มีความสูงอยู่ที่ 120 เมตรและกว้าง 73 เมตร มีน้ำไหลลดหลั่นลงมาจากชั้นหิน จนกลายเป็นทัศนียภาพที่งดงามจนติดอันดับความสวยงามของน้ำตกในญี่ปุ่น รองจากน้ำตกนาจิในจังหวัดวากะยามะ และน้ำตกเคงอนในจังหวัดโทชิงิเท่านั้น เห็นอย่างนี้ที่นี่ก็มีนักท่องเที่ยวและเหล่าช่างภาพนิยมมาเก็บภาพและสัมผัสบรรยากาศแสนสวยงามนี้ในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ใบไม้ที่เปลี่ยนสีตัดกันกับน้ำตกสีขาวออกมาเป็นภาพที่สวยงามราวกับงานศิลปะ ถือเป็นอีกเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้มาเยือนหลงใหล ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงฤดูหนาว น้ำตกแปรเปลี่ยนเป็นธารน้ำแข็ง มีการนำไฟหลากสีสันมาประดับจนกลายเป็นภาพน้ำตกที่แปลกตา ดูมีเสน่ห์ลึกลับ และมีดนตรีประกอบการเข้าชมด้วย
น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda Falls)
ที่อยู่ | 3-19 Fukuroda, Daigo, Kuji District, Ibaraki 319-3523 |
วิธีเดินทาง | จากสถานี Fukuroda เดินต่อประมาณ 30 – 40 นาที หรือนั่งรถบัสมาลงป้าย Takimoto ใช้เวลาประมาณ 10 – 20 นาที |
เวลาทำการ | เดือนพฤษภาคม – เดือนตุลาคม 08.00 น. – 18.00 น. เดือนพฤศจิกายน 08.00 น. – 17.00 น.และเดือนธันวาคม – เมษายน 09.00 น. – 17.00 น. (เวลาจะปรับเปลี่ยนในช่วงจัดแสดงไลท์อัพ) |
ราคา | ผู้ใหญ่ 300 เยน, เด็ก 150 เยน |
Website | Fukuroda Falls |
อุชิคุไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu)
พระพุทธรูปปางประทับยืนทองสัมฤทธิ์ อุชิคุไดบุทสึหรือพระใหญ่อุชิคุขนาดใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ตั้งอยู่ที่อิบารากิ มีความสูงอยู่ที่ 120 เมตร ด้านในองค์พระถูกแบ่งเป็น 5 ชั้น ภายในองค์พระเงียบสงบและชวนให้รู้สึกน่าอัศจรรย์ มีจุดชมวิวบริเวณพระอุระอยู่ที่ความสูง 85 เมตร สามารถชมทัศนียภาพกว้างไกลผ่านกระจกทั้ง 4 ด้านได้ ส่วนบริเวณใต้พระบาทของพระพุทธรูปจะมีสวนขนาดใหญ่ราวกับดินแดนสุขาวดี รายล้อมด้วยดอกไม้สีสันสดใสที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ภายในสวนยังมีสวนสัตว์ขนาดเล็ก สามารถเพลิดเพลินได้ทั้งครอบครัว ความน่าสนใจขององค์พระยังถูกบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์บุ๊คว่าเป็น “Tallest Buddha” อีกด้วยนะ
อุชิคุไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu)
ที่อยู่ | 2083 Kunocho, Ushiku, Ibaraki 300-1288 |
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟ สาย JR Joban มาลงที่สถานี Ushiku แล้วเดินต่ออีก 5 นาที |
เวลาทำการ | เดือนมีนาคม ถึง เดือนกันยายน 9.30 – 17.00 น. และเดือนตุลาคมถึง เดือนกุมภาพันธ์ 9.30 – 16.30 น. |
ราคา | ผู้ใหญ่ 800 เยน, เด็ก 400 เยน |
Website | Ushiku Daibutsu |
ตลาดปลานากามินาโตะ (Nakaminato Fish Market)
ตลาดปลานากามินาโตะถือเป็นตลาดปลาที่ภูมิใจนำเสนอของภูมิภาคคันโตเลยก็ว่าได้ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเดินชมบรรยากาศแสนคึกคัก พ่อค้าแม่ค้า ชาวประมง มีแผงขายอาหารทะเลที่หลากหลาย ทั้งแบบปลาสด ปลาแปรรูป มีร้านขายอาหารที่เสิร์ฟปลาดิบสดๆ จะสั่งไคเซนด้งที่เสิร์ฟมาแบบพูนชามก็ฟินอย่าบอกใคร แถมยังตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือประมงนากามินาโตะ ซึ่งถือเป็นท่าเรือประมงอันดับหนึ่งในจังหวัดอิบารากิ และมหาสมุทรแปซิฟิก ความน่าสนใจนี้ทำให้มีผู้มาเยือนที่นี่มากกว่า 1 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว
ตลาดปลานากามินาโตะ (Nakaminato Fish Market)
ที่อยู่ | 19-8 Minato, Hitachinaka, Ibaraki 311-1221 |
วิธีเดินทาง | นั่งรถไฟ JR Joban Line มาลงสถานี Katsuta แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ Hitachinaka Seaside Railway มาลงที่สถานี Nakaminato แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที |
เวลาทำการ | 8.00 – 18.00 น. |
ราคา | เข้าชมฟรี |
Website | Nakaminato Fish Market |
ภูเขาทสึคุบะ (Mount Tsukuba)
ภูเขาทสึคุบะแห่งนี้ ถือเป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ตั้งแต่สมัยโบราณว่ากันว่า “ภูเขาทสึคุบะเป็นตัวแทนทางทิศตะวันออกและภูเขาฟูจิเป็นตัวแทนทางทิศตะวันตก” นอกจากนี้ เนื่องจากสีของพื้นผิวภูเขาจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเมื่อได้รับแสงแดดในตอนเช้าและตอนเย็น จึงกล่าวกันว่าภูเขาทสึคุบะเป็นยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ของภูมิภาคคันโต สำหรับใครที่ชอบการเดินชมธรรมชาติ และปีนเขาแบบเบสิคๆ ภูเขาทสึคุบะมีความสูงไม่มากนักจึงสามารถเดินชมบรรยากาศที่รายล้อมภูเขาได้อย่างง่ายดาย หากเดินชมภูเขาแล้วเหนื่อย ขาลงก็สามารถนั่งกระเช้าลงมาได้ ซึ่งก็มีไว้ให้บริการด้วย ที่นี่จึงเหมาะสำหรับผู้ที่อยากเทรกกิ้งขึ้นภูเขาในญี่ปุ่นง่ายๆ ใกล้โตเกียว ต้องลองมาเดินเขานี้ดูสักครั้ง
ภูเขาทสึคุบะ (Mount Tsukuba)
ที่อยู่ | 1 Tsukuba, Tsukuba-City, Ibaraki |
วิธีเดินทาง | จากสถานี Tsukuba นั่งรถบัสต่อใช้เวลาประมาณ 40 นาที |
เวลาทำการ | เปิด 24 ชั่วโมง |
ราคา | เคเบิ้ลคาร์ ผู้ใหญ่ เที่ยวเดียว : 590 เยน,ไป-กลับ : 1,070 เยน/ เด็ก เที่ยวเดียว:300 เยน ,เด็ก ไป-กลับ : 540 เยน |
Website | Mount Tsukuba |
ศาลเจ้าคาชิมะ (Kashima Jingu Shrine)
ถ้าพูดถึงศาลเจ้าแนะนำในจังหวัดอิบารากิ ขอแนะนำศาลเจ้าคาชิมะแห่งนี้ ซึ่งเป็นศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโต สร้างขึ้นเมื่อราวๆ 600 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่จักรพรรดิจิมมุขึ้นครองบัลลังก์ โดยศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับทาเคมิคาซึจิ โนะโอคามิ เทพเจ้าแห่งสายฟ้าและสงครามของศาสนาชินโต เป็นเทพที่มีความเกี่ยวข้องกับศิลปะการต่อสู้ ภายในศาลเจ้าจึงมีการจัดแสดงม้วนกระดาษที่มีรูปของเขาไว้ด้วย ตามบันทึกในประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าจักรพรรดิและเหล่าขุนศึกเคยมาสักการะที่ศาลเจ้าคาชิมะแห่งนี้ด้วย ตลอดทั้งปีที่นี่เป็นสถานที่จัดงานกิจกรรมต่างๆ มากมาย อย่าพลาดช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะผู้คนจากทั่วญี่ปุ่นกว่า 600,000 คนมักจะมาที่นี่ในช่วงสามวันแรกของเดือนมกราคม เพื่อขอพรให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ชนะการแข่งขัน ประสบความสำเร็จในชีวิต และทำการค้าขายเจริญรุ่งเรือง
ศาลเจ้าคาชิมะ (Kashima Jingu Shrine)
ที่อยู่ | 2306-1 Kyuchu, Kashima, Ibaraki 314-0031 |
วิธีเดินทาง | จากสถานี JR Kashima Jingu เดิน 10 นาที |
เวลาทำการ | 9.00-16.00 น. |
ราคา | เข้าชมฟรี ยกเว้นโถงสมบัติ ผูใหญ่ 300 เยน เด็ก 100 เยน |
Website | Kashima Jingu Shrine |
อควาเวิลด์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโออาไรอิบารากิ (Aqua World Ibaraki Oarai Aquarium)
เที่ยวชมธรรมชาติในอิบารากิมาหลายแห่ง อย่าลืมแวะเที่ยวที่อควาเวิลด์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโออาไรประจำจังหวัดอิบารากิแห่งนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีสัตว์ทะเลประมาณ 580 ชนิด และปลามากกว่า 68,000 ตัว เช่น ปลาพระอาทิตย์ นากทะเล และอื่นๆ ที่สำคัญ เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีปลาฉลามหลากหลายสายพันธุ์มากที่สุดในญี่ปุ่น และหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่คือการแสดงโชว์ปลาโลมากับสิงโตทะเล ซึ่งจัดแสดงให้ชม 4 รอบต่อวัน ทุกท่านจะได้เพลิดเพลินไปกับการแสดงโชว์ปลาโลมากับสิงโตทะเลที่ทรงพลัง โดยมีทิวทัศน์ของมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นฉากหลังสวยงามมาก
อควาเวิลด์ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโออาไรอิบารากิ (Aqua World Ibaraki Oarai Aquarium)
ที่อยู่ | 8252-3 Isohamacho, Oarai, Higashiibaraki District, Ibaraki 311-1301 |
วิธีเดินทาง | จากสถานี Oarai รถไฟ Kashima Rinkai Tetsudo สาย Oarai Kashima ต่อรถบัสไปประมาณ 15 นาที |
เวลาทำการ | 9.00 -16.00 น. |
ราคา | ผู้ใหญ่ 2,300 เยน, เด็กนักเรียนประถมและมัธยมต้น 1,100 เยน |
Website | Aqua World Ibaraki Oarai Aquarium |
อามิพรีเมียมเอาท์เล็ต (Ami Premium Outlets)
เที่ยวกันมาตลอดทั้งทริปในอิบารากิแล้ว ต้องแวะช้อปปิ้งก่อนกลับกันสักหน่อย ห้างสรรพสินค้าเอาท์เล็ตที่เปิดให้บริการในปีค.ศ. 2009 เป็นต้นมา ภายในมีร้านจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังของญี่ปุ่นและต่างประเทศมากกว่า 150 ร้าน มีตั้งแต่แบรนด์ต่างประเทศยอดนิยม ร้านไลฟ์สไตล์ และร้านอาหารให้เลือกมากมาย พร้อมทางเดินที่กว้างขวาง สะดวกสบายสําหรับผู้ที่มีรถเข็นเด็ก หรือเก้าอี้รถเข็น เป็นสถานที่ที่สามารถเพลิดเพลินกับการซื้อสินค้าราคาพิเศษได้ทุกวัน และที่นี่ยังตั้งอยู่ใกล้กับอุชิคุไดบุทสึหรือพระใหญ่อุชิคุด้วยนะ
อามิพรีเมียมเอ้าท์เล็ต (Ami Premium Outlets)
ที่อยู่ | 4-1-1 Yoshiwara, Ami-Machi, Ibaraki |
วิธีเดินทาง | ขึ้นรถไฟ JR สาย Joban ลงสถานี Arakawaoki ต่อรถบัสอีก 20 นาที |
เวลาทำการ | 10.00 – 20.00 น. |
ราคา | เข้าชมฟรี |
Website | Ami Premium Outlets |
การเดินทางภายใน “อิบารากิ”
วิธีการเดินทาง | รายละเอียด |
รถไฟ | การเดินทางในอิบารากิ มีสายรถไฟ JR และ Joban Line ที่เป็นสายรถไฟหลักให้บริการในพื้นที่เพื่อเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ |
รถบัส | อย่างที่รู้กันดีว่านอกจากการเดินทางด้วยรถไฟจะสะดวกที่สุดแล้ว แต่การเดินทางด้วยรถบัสเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สะดวกสำหรับการเดินทางในต่างจังหวัดของญี่ปุ่น |
JR Pass ที่แนะนำใน “อิบารากิ”
JR PASS | รายละเอียด |
JR TOKYO WIDE PASS ราคาเริ่มต้น 3,596 บาท | เป็นพาสการเดินทางแบบ 3 วัน ใช้เดินทางในโตเกียวและรอบโตเกียว |
สภาพอากาศที่ต้องรู้ใน “อิบารากิ”
สภาพอากาศในจังหวัดอิบารากิ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 29 องศา และตำ่สุด อยู่ที่ 4.99 องศา โดยส่วนใหญ่แล้วจังหวัดนี้อาากาศค่อนข้างดีเหมาะสมกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
อาหารขึ้นชื่อของดีต้องลองเมื่อมาเยือน “อิบารากิ”
จังหวัดอิบารากิมีจำนวนผลิตผลทางการเกษตรที่มากเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น เพราะที่นี่มีอุณหภูมิอบอุ่นเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ 13°C ถึง 14.5°C จึงทำเกษตรและปศุสัตว์ได้หลากหลาย อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรอาหาร และอยู่ติดมหาสมุทรแปซิฟิกจึงมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมากมายที่ไม่ควรพลาด เช่นเมล่อน โซบะ มันหวานตากแห้ง และนัตโตะ นอกจากนี้ยังมีสาเกและเบียร์ท้องถิ่นอร่อยๆ แนะนำอีกด้วย
เนื้อวัวฮิตาจิวากิว (Hitachi Wagyu Beef)
ทางจังหวัดมีการทำฟาร์มโคเนื้อมายาวนานมากกว่า 180 ปี ทำให้มีผลผลิตเป็นเนื้อเกรดคุณภาพมากมาย โดยเฉพาะเนื้อวัวฮิตาจิ ที่เป็นเนื้อวากิวแบรนด์ที่ดีที่สุดแบรนด์หนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ทั้งในด้านชื่อเสียงและคุณภาพเนื้อวัวฮิตาจิเป็นคุโรเกะวากิว (วัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นขนสีดำ) มีจุดเด่นคือเนื้อลายหินอ่อนที่ละเอียด และไขมันคุณภาพดี ซึ่งมาจากการเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ ประกอบกับสภาพอากาศอบอุ่นของอิบารากิทำให้ที่นี่เหมาะกับการทำการเกษตรและการเลี้ยงวัวที่แข็งแรง แนะนำให้มาลองเพลิดเพลินกับเนื้อฉ่ำนุ่มในรูปแบบของสเต็ก ยากินิกุ หรือสุกี้ยากี้ ที่เนื้อนุ่ม ละลายในปากเลยทีเดียว ยังไงมาลองชิมให้ได้เมื่อคุณมาเยือนอิบารากินะ
เนื้อไก่โอคุคุจิชาโมะ (Okukuji shamo)
ไก่พันธุ์นี้เดิมทีถูกใช้เพื่อการต่อสู้ ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับไก่ทั่วไปแล้ว โอคุคุจิชาโมจะมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากกว่า มีเนื้อสัมผัสที่แน่น มีรสชาติน่าสนใจ และดีต่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นไก่ที่เลี้ยงในพื้นที่ภูเขาที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของโอคุคุจิทางตอนเหนือของจังหวัดอิบารากิ เนื้อไก่จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะคือรสชาติที่เข้มข้นและลึกซึ้ง คุณสามารถเพลิดเพลินกับวิธีกินที่หลากหลาย อาทิ ยากิโทริ, อาหารหม้อไฟ, ไก่ทอด ฯลฯ
หม้อไฟปลาอังโกะ (Anko Nabe)
หม้อไฟนี้เป็นอาหารประจำฤดูหนาว (ช่วงเดือนพศจิกายน – มีนาคม) ของจังหวัดอิบารากิเลยก็ว่าได้ สำหรับปลาอังโกะนี้เป็นปลาทะเลน้ำลึกที่ไม่มีเกล็ด เนื้อละมุนนุ่มนิ่ม ในอดีตเองถือเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ไดเมียวในสมัยนั้นจะมอบปลาเนื้อนุ่มที่ดีต่อผิวพรรณนี้ให้กับเหล่าโชกุน สัมผัสของเนื้อปลาที่นุ่มและมีรสชาติอ่อนๆ นี้ เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยคอลลาเจน วิตามิน มีไขมัน และแคลอรีต่ำ จึงเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาว และเหล่าชาวประมงที่กินแล้วมีกำลังวังชามากยิ่งขึ้น
นัตโตะ (Natto)
เชื่อว่าหลายๆ คนรู้จักนัตโตะมาบ้างแล้ว ซึ่งนัตโตะอยู่กับโต๊ะอาหารญี่ปุ่นมานาน ตั้งแต่ในสมัยยาโยอิโน่นเลย เป็นหนึ่งในวิธีการถนอมอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่ชอบรับประทานอาหารมังสวิรัติ แม้จะมีจุดเด่นตรงกลิ่นและรูปลักษณ์ ที่เป็นเอกลักษณ์ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าบ้านเกิดของนัตโตะอยู่ที่จังหวัดอิบารากิแห่งนี้ ว่ากันว่านัตโตะที่ใช้ถั่วที่ปลูกริมชายฝั่งอิบารากินั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและรสชาติที่อร่อย อีกทั้งที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์นัตโตะ ในจังหวัดก็มีโรงงานผลิตนัตโตะหลายแห่ง ทำให้สามารถหาเมนูที่หลากหลายเกี่ยวกับนัตโตะได้ที่นี่ อาทิ ซอฟต์ครีมนัตโตะ เกี๊ยวซ่านัตโตะ เป็นต้น
เมลอนโฮโกตะ
มาถึงผลไม้กันบ้าง อิบารากิเป็นผู้ผลิตเมลอนรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และที่เมืองโฮโกตะเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกเมลอนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ ฤดูกาลที่เมลอนกำลังอร่อยคือช่วงเดือนเมษายน – ตุลาคม ส่วนพันธุ์เมลอนแนะนำก็มีตั้งแต่เมลอนแอนดีส เมลอนควินซี เมลอนเอิร์ล เมลอนอิบาระคิงชื่อนี้ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Ibaraki King เป็นเมลอนแบรนด์อิบารากิซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์เมลอนมากกว่า 400 สายพันธุ์ที่มีมานานกว่า 10 ปีแล้วจุดเด่นคือสามารถลิ้มรสเมลอนที่เนื้อหนากว่าพันธุ์อื่นได้ หลายคาเฟ่ในจังหวัดมีเมนูเมลอนเสิร์ฟไว้ รวมทั้งพาร์เฟ่ต์เมลอน และขนมเกี่ยวกับเมลอนอื่นๆ ให้ลิ้มลองมากมาย
โฮชิอิโมะ (Hoshiimo)
อาหารแสนอร่อยสุดท้ายที่อยากให้ลองเมื่อไปเยือนยังอิบารากิ นั่นคือมันรสหวานแบบธรรมชาติที่อร่อยที่สุดช่วงเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม โฮชิอิโมะหรือมันเทศตากแห้งนี้เป็นขนมหวานดั้งเดิมของญี่ปุ่น ทำจากมันเทศนึ่งแล้วนำไปตากแดด อิบารากิมีดินและอากาศที่เหมาะสมจึงเป็นแหล่งผลิตโฮชิอิโมะอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ความน่าสนใจคือความหวานจากธรรมชาติโดยไม่ได้ใช้สารเติมแต่งหรือน้ำตาลแต่อย่างใด จึงสามารถเพลิดเพลินกับรสหวานตามธรรมชาติได้แบบจุใจ แนะนำให้รับประทานคู่กับชาหรือนมก็อร่อยแล้ว หรือจะนำมาหุงกับข้าวก็อร่อยไม่แพ้กัน นอกจากนั้นในจังหวัดยังนำโฮชิอิโมะ ไปทำเมนูอื่นๆ อีก อาทิ พายโฮชิอิโมะ ชีสเค้กโฮชิอิโมะ และเจลาโต้ที่ใส่โฮชิอิโมะ ก็มีให้เลือกอร่อยกัน
สรุป
อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้คงเชื่อแล้วใช่ไหมคะว่า จังหวัดอิบารากินั้นเที่ยวง่ายแถมยังอยู่ใกล้โตเกียวแบบกระพริบตาเดียวถึง แล้วสถานที่ท่องเที่ยวก็มีเยอะมาก อุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติ รายล้อมด้วยทะเล แม่น้ำ ทะเลสาบ และภูเขา ที่มีความสวยงามตามฤดูกาล สามารถมาชม มาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้นพวกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์ทางทะเล ก็มีให้ลิ้มลองมากมาย ไม่แพ้จังหวัดอื่นในญี่ปุ่นเลย สำหรับใครที่กำลังมองหาจังหวัดน่าเที่ยวใกล้โตเกียว อิบารากิจะเป็นอีกความประทับใจในญี่ปุ่นให้กับคุณอย่างแน่นอน