รวม 6 โลชั่น/โทนเนอร์ญี่ปุ่นตัวดัง ที่ต้องซื้อจาก ดรักสโตร์ (อัปเดต 2025)

12/01/2024 (อัพเดทเมื่อ 17/10/2025)
ใครที่เคยไปเดินดรักสโตร์ในญี่ปุ่น คงต้องตะลึงกับแถวโทนเนอร์ที่ยาวเหยียดจนตาลาย แต่รู้ไหมว่าโทนเนอร์ญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ "น้ำเช็ดหน้า" ธรรมดา แต่คือไอเท็มสกินแคร์ที่สาวญี่ปุ่นถือว่าขาดไม่ได้ เพราะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวแบบจัดเต็ม วันนี้จะพาไปรู้จักว่าทำไมโทนเนอร์ญี่ปุ่นถึงฮิตขนาดนี้ มีแบรนด์ไหนน่าซื้อบ้าง และจะเลือกให้เหมาะกับผิวตัวเองได้อย่างไร
Link to Meiji RakuRaku cube LP
Link to Meiji Step RakuRaku Cube LP
Contents Index
  1. 1 โทนเนอร์ญี่ปุ่นคืออะไร แตกต่างจากโทนเนอร์ทั่วไปยังไง
  2. 2 ทำไมโทนเนอร์ญี่ปุ่นถึงฮิตในไทย
  3. 3 เลือกโทนเนอร์ญี่ปุ่นให้เหมาะกับผิว
    1. 3.1 ผิวแห้ง
    2. 3.2 ผิวมัน
    3. 3.3 ผิวแพ้ง่าย
  4. 4 โทนเนอร์ญี่ปุ่นแบรนด์ดังที่ควรรู้จัก
    1. 4.1 Hada Labo
    2. 4.2 Muji
    3. 4.3 Kikumasamune
    4. 4.4 Naturie Hatomugi
    5. 4.5 Kose Sekkisei
    6. 4.6 DHC
  5. 5 คำศัพท์ญี่ปุ่นที่ควรรู้เวลาช้อปในร้าน
  6. 6 เคล็ดลับการใช้โทนเนอร์ญี่ปุ่นให้ได้ผลดีที่สุด
    1. 6.1 ข้อควรระวังในการเลือกใช้
    2. 6.2 ราคา + หาซื้อที่ไหน (Shopping Guide)
  7. 7 เปรียบเทียบราคา ญี่ปุ่น vs ไทย
  8. 8 ซื้อโลชั่น และโทนเนอร์ ที่ไหนในญี่ปุ่น
    1. 8.1 ร้านยอดนิยมอื่นๆ สำหรับนักท่องเที่ยว
    2. 8.2 เคล็ดลับช้อปให้คุ้ม
  9. 9 ตารางสรุป: เลือกแบรนด์ตามสภาพผิว
  10. 10 สรุป

โทนเนอร์ญี่ปุ่นคืออะไร แตกต่างจากโทนเนอร์ทั่วไปยังไง

สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ เมื่อคนญี่ปุ่นพูดถึง “โลชั่น” (Lotion) พวกเขานั้น หมายถึงโทนเนอร์ ไม่ใช่ครีมทาผิวแบบที่เราคุ้นเคย ซึ่งนั่นอาจทำให้นักช้อปมือใหม่งงได้ว่า ทำไมขวดเขียนว่าโลชั่นแต่เนื้อเป็นน้ำบางๆ นั่นเอง ซึ่งจุดต่างที่ชัดที่สุดของโทนเนอร์ญี่ปุ่นก็คือ ไม่ได้เน้นเช็ดคราบสกปรก หรือสารตกค้าง แบบโทนเนอร์ตะวันตก แต่เน้น “เติมน้ำให้ผิว” เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป นั่นทำให้เนื้อสัมผัสของโทนเนอร์ญี่ปุ่นมักจะชุ่มชื้นและหนืดกว่า บางยี่ห้อมาในขวดใหญ่ขนาด 500ml ที่ใช้ได้ทั้งตัว หรือจะชุบสำลีทำโลชั่นมาส์กหน้าก็ได้โดยไม่ต้องเสียดาย ด้วยคอนเซ็ปต์แบบนี้ โทนเนอร์ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นไอเท็มยอดนิยมของสาวญี่ปุ่น และแน่นอน รวมถึงคนไทยที่หลงรักสกินแคร์ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

ทำไมโทนเนอร์ญี่ปุ่นถึงฮิตในไทย

คำตอบง่ายๆ คือ ตอบโจทย์ครบทั้งคุณภาพและราคา ซึ่งโทนเนอร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้น มีสูตรที่อ่อนโยน เน้นความชุ่มชื้น และที่สำคัญคือมีหลากหลายสูตรให้เลือกตามสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งที่ต้องการความชุ่มชื้นแบบจัดหนัก ผิวมันที่ต้องการเนื้อบางเบา หรือผิวแพ้ง่ายที่ต้องการสูตรเรียบง่าย แถมราคาก็เข้าถึงง่ายกว่าแบรนด์ตะวันตกอีกหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะเมื่อซื้อที่ญี่ปุ่น ก็ยิ่งคุ้มค่าขึ้นไปอีก บางแบรนด์ขวดใหญ่ราคาหลักร้อยแต่ใช้ได้หลายเดือน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนที่ชอบซื้อกลับมาฝากตัวเอง (และฝากเพื่อนๆ ด้วย)

เลือกโทนเนอร์ญี่ปุ่นให้เหมาะกับผิว

ก่อนจะตัดสินใจซื้อ โลชั่น หรือโทนเนอร์ญี่ปุ่น หลักการสำคัญคือ อ่านส่วนผสม และ เลือกตามสภาพผิว ถ้าเป็นผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงโทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมเข้มข้น แต่ถ้าเป็นผิวปกติหรือผิวมัน สูตรที่มีแอลกอฮอล์เล็กน้อยก็อาจช่วยให้รู้สึกสดชื่นได้

ผิวแห้ง

ถ้าผิวแห้งจัด สิ่งที่ต้องมองหาคือ Hyaluronic Acid, Ceramide และ Glycerin ซึ่งช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำในผิว เนื้อสัมผัสควรเข้มข้นกว่าปกติ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหนียวเกินไป เพราะผิวแห้งต้องการความชุ่มชื้นแบบจัดเต็มจริงๆ ตัวอย่างที่เด่นสุดคือ Hada Labo Gokujyun ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหนึบชุ่มชื้นสุดๆ จนกลายเป็นตำนานในวงการสกินแคร์ญี่ปุ่น

ผิวมัน

ผิวมันต้องการโทนเนอร์ที่ เนื้อบางเบา ซึมไว และไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ มองหาสูตรที่มีสารสกัดพืชช่วยลดความมัน หรือสารที่ช่วยปรับสมดุลผิว แต่ยังคงเติมน้ำให้ผิวได้เพียงพอ ซึ่ง Naturie Hatomugi คือตัวเลือกยอดนิยม เพราะซึมไวมาก ไม่เพิ่มความมัน แต่ช่วยเติมน้ำให้ผิวดูสมดุลและแข็งแรง

ผิวแพ้ง่าย

สำหรับผิวแพ้ง่าย คีย์เวิร์ดคือ Minimalist และ Free-from หรือก็คือสูตรเรียบง่ายที่หลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ และส่วนผสมที่อาจระคายเคือง ซึ่ง Muji Sensitive Skin เป็นตัวอย่างที่ดีมาก เพราะเน้นส่วนผสมที่จำเป็นจริงๆ ไม่มีส่วนเกินที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง ใช้สบายใจได้แม้ผิวแพ้ง่ายสุดๆ

โทนเนอร์ญี่ปุ่นแบรนด์ดังที่ควรรู้จัก

มาถึงส่วนที่หลายคนรอคอย กับการรีวิวโลชั่น และโทนเนอร์ญี่ปุ่นตัวดัง แบรนด์ดัง ที่เวลาเดินดรักสโตร์ญี่ปุ่นยังไงก็ต้องเจอแน่นอน พร้อมข้อมูลว่าแต่ละยี่ห้อเหมาะกับใครบ้าง

Hada Labo

ถ้าพูดถึงโทนเนอร์ญี่ปุ่น หลายคนนึกถึง Hada Labo เป็นอันดับต้นๆ เพราะโด่งดังเรื่อง Hyaluronic Acid หลายชนิดในขวดเดียว ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นแบบจัดเต็มหลายระดับ ซึ่งรุ่นดังที่สุดคือ Gokujyun Moist ที่เหมาะสำหรับผิวแห้ง ให้ความชุ่มชื้นแบบเห็นผลชัดเจน โดยสูตรใหม่ปี 2024-2025 ได้อัปเกรดเป็น Hyaluronic Acid 7 ชนิด ที่เติมความชุ่มชื้นได้ทรงพลังกว่าเดิม ส่วน Shirojyun Brightening เป็นสูตรเน้นผิวกระจ่างใสที่เหมาะกับคนอยากได้ผิวโปร่งใสขึ้น

ราคา: 💰💰 (ระดับกลาง) ประมาณ ¥990 (≈฿215) | ขนาด: 170ml

Muji

Muji มาในคอนเซ็ปต์ “เรียบง่ายแต่ดี” ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โทนเนอร์ของ Muji ใช้ น้ำธรรมชาติจากคามาอิชิ (Kamaishi) จังหวัดอิวาเตะ เป็นฐาน ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์ เน้นส่วนผสมที่จำเป็นจริงๆ จึงใช้สบายใจสำหรับผิวแพ้ง่าย ซึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมสุดคือ Light Toning Water สูตร Sensitive ที่ปรับสูตรและแพ็กเกจใหม่ในปี 2025 พร้อมรุ่น High Moisture สำหรับผิวแห้ง มีหลายขนาดตั้งแต่แบบพกพาไปจนถึงขวดใหญ่ ยิ่งซื้อที่ญี่ปุ่นยิ่งคุ้มเพราะราคาถูกกว่าเมืองไทยพอสมควร และข้อดีอีกอย่างคือหาซื้อง่ายมาก เพราะร้าน Muji มีแทบทุกห้างสรรพสินค้าใหญ่ในญี่ปุ่น

ราคา: 💰 (ประหยัด) ประมาณ ¥1,190 (≈฿255) | ขนาด: 400ml

Kikumasamune

ชื่อนี้อาจออกเสียงยากหน่อย แต่ความดังไม่ธรรมดา เพราะขึ้นชื่อว่า “โทนเนอร์ข้าวสาเก” ที่ใช้สารสกัดจากสาเกญี่ปุ่นเป็นส่วนผสมหลัก ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น โดยจุดเด่นที่หลายคนชอบคือ ขวดใหญ่มาก (500ml) ในราคาไม่แพง ใช้ได้นานมาก เหมาะกับคนที่อยากได้ทั้งความคุ้มค่าและผลลัพธ์เรื่องผิวใส บางคนใช้ทำโลชั่นมาส์กทุกวันก็ยังใช้ได้เป็นเดือนๆ และปัจจุบันมีรุ่นใหม่ “Harisuya” (ขวดม่วง) ที่เพิ่มส่วนผสม Niacinamide ช่วยเรื่องผิวกระจ่างและลดรอยหมองคล้ำได้ดีขึ้น ซึ่งขายควบคู่ไปกับสูตรเดิม 2 แบบ (ชมพูและส้ม) ที่ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง กับเนื้อสัมผัสค่อนข้างบางเบา ซึมง่าย ไม่เหนียว เหมาะกับผิวทุกประเภท โดยเฉพาะคนที่อยากได้ผิวกระจ่างแบบไม่ต้องง้อครีมราคาแพง

ราคา: 💰 (คุ้มค่าสุด) ประมาณ ¥990 (≈฿215) | ขนาด: 500ml 

Naturie Hatomugi

ถ้าพูดถึง “ลูกเดือย” (Hatomugi) ต้องนึกถึง Naturie เลย เพราะเป็นแบรนด์ที่ทำให้สารสกัดจากลูกเดือยฮิตติดชาร์ตในเมืองไทย สารนี้ช่วยให้ผิวเนียนใส ลดการอักเสบ และปรับสมดุลผิว ซึ่ง Naturie Hatomugi Skin Conditioner คือไอเท็มดังตลอดกาลที่เนื้อเบาบางซึมง่ายสุดๆ โดยสูตรใหม่ที่อัปเดตในปี 2025 ได้เพิ่มสารสกัดจากลูกเดือยถึง 20% และไม่มีแอลกอฮอล์ ทำให้อ่อนโยนกว่าเดิม ใช้ได้ทั้งเป็นโทนเนอร์ปกติหรือชุบสำลีทำมาส์กหน้า ขวดใหญ่ใช้ได้นาน ถือว่าคุ้มค่ามาก เหมาะกับผิวมันและผิวผสม แต่ผิวแห้งก็ใช้ได้ถ้าเติมครีมบำรุงตามด้วย

ราคา: 💰 (คุ้มค่า) ประมาณ ¥750 (≈฿160) | ขนาด: 500ml

Kose Sekkisei

นี่คือโทนเนอร์ระดับตำนานที่มีมาตั้งแต่ปี 1985 และยังคงขายดีเรื่อยมาจนทุกวันนี้ Sekkisei รวม สมุนไพรญี่ปุ่นหลายชนิด อย่าง Angelica, Coix Seed และ Melothria ที่ช่วยเรื่องความขาวกระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ โดยในปี 2024 ได้เพิ่มสูตรใหม่ “Brightening Essence Lotion” ที่เน้นเรื่องความกระจ่างใสมากขึ้น ขายควบคู่ไปกับสูตรดั้งเดิม (ขวดน้ำเงินเข้ม) ที่ยังคงได้รับความนิยม จุดเด่นคือผลลัพธ์ชัดเจนเรื่องผิวใส เหมาะกับคนที่กังวลเรื่องผิวหมองคล้ำและพร้อมลงทุนกับสกินแคร์คุณภาพดี มีกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ที่บางคนชอบมาก แต่บางคนอาจไม่ชอบ แนะนำให้ทดลองกลิ่นก่อนซื้อ

ราคา: 💰💰💰 (พรีเมียม) ประมาณ ¥5,500 (≈฿1,180) | ขนาด: 200ml

DHC

DHC เป็นแบรนด์ที่มีทั้งสกินแคร์และอาหารเสริม โด่งดังเรื่องคุณภาพและการใช้สารสกัดจากธรรมชาติ โดยภาพรวมของแบรนด์ DHC มักใช้ Olive Virgin Oil (น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์) เป็นส่วนผสมเด่นในหลายผลิตภัณฑ์ รุ่นหลักของโทนเนอร์คือ DHC Mild Lotion (สูตรไร้แอลกอฮอล์) ที่เน้นสารปลอบประโลมผิวจากสารสกัดแตงกวาและชะเอม ช่วยให้ผิวสงบ ลดการระคายเคือง พร้อมเติมความชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน เหมาะกับคนที่อยากได้โทนเนอร์ที่ไม่ระคายเคืองและบำรุงผิวในขั้นตอนเดียว เนื้อสัมผัสค่อนข้างเข้มข้น เหมาะกับผิวแห้งหรือผิวที่ต้องการบำรุงล้ำลึก

ราคา: 💰💰 (ระดับกลาง-สูง) ประมาณ ¥3,667 (≈฿790) | ขนาด: 180ml

*หมายเหตุ: ราคาจริงอาจแตกต่างตามร้านค้าและโปรโมชันในแต่ละช่วง

คำศัพท์ญี่ปุ่นที่ควรรู้เวลาช้อปในร้าน

เมื่อเดินช้อปในดรักสโตร์ญี่ปุ่น การรู้คำศัพท์พื้นฐานจะช่วยให้นักท่องเที่ยวนั้น เลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น นี่คือคำที่พบบ่อยบนฉลากโทนเนอร์นั่นเอง

คำญี่ปุ่นคำอ่านความหมาย
保湿โฮะชิสึเพิ่มความชุ่มชื้น
透明感โทเมคังผิวกระจ่างใส โปร่งใส
ブライトニングไบรโทนิงงุBrightening ผิวกระจ่างใส
敏感肌บินกังฮาดะผิวแพ้ง่าย
無香料มุโคเรียวไม่มีน้ำหอม
無着色มุจักุชิคุไม่มีสีผสม
アルコールフリーอารุโครุ ฟุรีไม่มีแอลกอฮอล์
さっぱりซัปปาริสดชื่น บางเบา (เหมาะผิวมัน)
しっとりชิตโตริชุ่มชื้น หนืด (เหมาะผิวแห้ง)

เคล็ดลับ: มองหาคำศัพท์เหล่านี้บนฉลากหน้าขวด จะช่วยให้เลือกสูตรที่ใช่ได้เร็วขึ้น!

เคล็ดลับการใช้โทนเนอร์ญี่ปุ่นให้ได้ผลดีที่สุด

หลายคนอาจคิดว่าแค่เทโทนเนอร์ใส่มือแล้วตบหน้าก็เสร็จ แต่จริงๆ แล้วมี “โลชั่นแพ็ค” (Lotion Pack) ที่เป็นเทคนิคยอดนิยมของสาวญี่ปุ่น วิธีทำคือ ชุบสำลีหรือมาส์กอัดเม็ด (แบบที่บีบน้ำแล้วขยายตัว) ด้วยโทนเนอร์จนชุ่ม แล้ววางบนผิวทิ้งไว้ 3-5 นาที เทคนิคนี้จะช่วยให้ผิวดูฟูและชุ่มชื้นกว่าการทาด้วยมือแบบปกติมาก โดยเฉพาะถ้าใช้โทนเนอร์ที่มาในขวดใหญ่อย่าง Kikumasamune หรือ Naturie ที่ใช้แบบไม่ต้องเสียดาย และอีกเคล็ดลับคือ ใช้เช้า-เย็นอย่างต่อเนื่อง อย่าคาดหวังว่าใช้สักสองวันผิวจะเปลี่ยนไป โทนเนอร์ญี่ปุ่นต้องใช้สม่ำเสมอจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ข้อควรระวังในการเลือกใช้

แม้โทนเนอร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะอ่อนโยน แต่ถ้าเป็น ผิวแพ้ง่าย ควรทดสอบที่ท้องแขนหรือหลังใบหูก่อน โดยเฉพาะถ้าเป็นครั้งแรกที่ใช้แบรนด์นั้นๆ ทิ้งไว้สัก 24 ชั่วโมงดูว่ามีอาการระคายเคืองหรือไม่ สำหรับ สูตร Brightening บางตัวอาจมีส่วนผสมที่ค่อนข้างแรง เช่น แอลกอฮอล์หรือสารบางชนิดที่ผิวแพ้ง่ายอาจทนไม่ได้ ควรอ่านส่วนผสมให้ดีก่อนตัดสินใจ และอย่าลืมว่า โทนเนอร์เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในการดูแลผิว ต้องมีครีมบำรุงหรือซีรั่มตามด้วย เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ มิเช่นนั้นน้ำที่เติมเข้าไปก็จะระเหยหายไป

ราคา + หาซื้อที่ไหน (Shopping Guide)

มาถึงส่วนที่สำคัญสำหรับนักช้อป นั่นก็คือ ราคาและสถานที่ซื้อ นั่นเอง โดยโลชั่น และโทนเนอร์ญี่ปุ่นตัวดังในตลาดนั้น มีราคาโดยประมาณดังนี้ (ซื้อที่ญี่ปุ่น ณ ตุลาคม 2025)

แบรนด์รุ่น/ไลน์สินค้าราคาขนาด
Naturie HatomugiSkin Conditioner¥750 (≈฿160)500 ml
KikumasamuneHigh Moist / Harisuya¥990 (≈฿215)500 ml
Hada LaboGokujyun Moist
¥990 (≈฿215)170 ml
MujiSensitive Skin / High Moisture¥1,190 (≈฿255)400 ml
DHCMild Lotion¥3,667 (≈฿790)180 ml
Kose SekkiseiOriginal / Brightening Essence¥5,500 (≈฿1,180)200 ml

*หมายเหตุ: ราคาสินค้าขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย ร้านค้า และโปรโมชันในขณะนั้น

เปรียบเทียบราคา ญี่ปุ่น vs ไทย

แบรนด์รุ่น/ไลน์สินค้าราคาที่ญี่ปุ่นราคาในไทยต่างราคาประมาณ (%)
Naturie HatomugiSkin Conditioner¥750 (≈฿160)600-700 บาท70-75%
Hada LaboGokujyun Moist¥990 (≈฿215)800-1,000 บาท70-75%
KikumasamuneHigh Moist (ชมพู)¥990 (≈฿215)650-800 บาท65-70%

*อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง: 1 เยน = 0.215 บาท (ณ ตุลาคม 2025)
†ราคาในไทยอ้างอิงจากราคาขายเฉลี่ยบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (Shopee/Lazada) และดรักสโตร์ ณ ตุลาคม 2025

หมายเหตุ: ตัวเลขเปอร์เซ็นต์เป็นค่าเฉลี่ย ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยและแคมเปญของร้านค้า

จะเห็นว่า ซื้อ โลชั่น และโทนเนอร์ ที่ญี่ปุ่นคุ้มกว่าเป็นอย่างมาก โดยมีราคาถูกกว่าในประเทศไทยถึง 65-75% และราคานี้ยังไม่รวมส่วนลด Tax-free 10% ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับเมื่อซื้อครบ ¥5,000 ขึ้นไป ยิ่งทำให้ประหยัดได้มากขึ้นไปอีก!

ซื้อโลชั่น และโทนเนอร์ ที่ไหนในญี่ปุ่น

ดรักสโตร์แนะนำ (มีสาขาทั่วญี่ปุ่น):

  • Matsumoto Kiyoshi (มัตซึโมโตะ คิโยชิ) – ดรักสโตร์ที่ใหญ่ที่สุดและมีสาขามากที่สุด มักมีโปรโมชันพิเศษ
    • สาขาดังในโตเกียว: Matsukiyo ชินจูกุตะวันออก (ใกล้ JR Shinjuku East Exit), Matsukiyo ชิบูยา Center Gai, Matsukiyo อิเคะบุคุโระตะวันออก
    • สาขาดังในโอซาก้า: Matsukiyo อูเมดะ (ใกล้ Osaka Station), Matsukiyo นัมบะ (ใกล้ Namba Station), Matsukiyo โดทงโบริ
  • Sugi Pharmacy – ราคาดีกว่า Matsukiyo เล็กน้อย หาสาขาได้ทั่วทุกย่าน โดยเฉพาะบริเวณสถานีรถไฟ
  • Cocokara Fine – มักมีโปรโมชันพิเศษและของแถม สาขาหน้า JR Station หลายแห่ง
  • Welcia, Tsuruha, Sun Drug – สาขาเยอะ หาง่าย ราคาถูกใจ มักอยู่ในย่านที่พัก

ร้านยอดนิยมอื่นๆ สำหรับนักท่องเที่ยว

  • Don Quijote (ดองกิ) – เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (บางสาขา) ของเยอะครบจบในที่เดียว ราคาดี
    • สาขาดังในโตเกียว: Don Quijote ชินจูกุ (ตึกสูง 8 ชั้น), Don Quijote ชิบูยา, Don Quijote อาซากุสะ
    • สาขาดังในโอซาก้า: Don Quijote โดทงโบริ (เปิดให้บริการตามปกติแล้ว ติดแม่น้ำ สถานที่ถ่ายรูปสวย), Don Quijote อูเมดะ
  • @Cosme Store – ร้านเฉพาะทางสกินแคร์และเครื่องสำอาง มีตัวอย่างให้ทดลองเยอะ พนักงานให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี
    • สาขาดัง: @Cosme Store ชิบูยา, @Cosme Store ชินจูกุ
  • Loft, Tokyu Hands – เหมาะกับคนที่ชอบบรรยากาศช้อปแบบสบายๆ ไม่วุ่นวาย มีตัวอย่างให้ทดลองใช้ (Tester) ได้หลายแบรนด์
    • สาขาดัง: Loft ชินจูกุ (ใหญ่ที่สุด), Tokyu Hands ชิบูยา (7 ชั้น มีทุกอย่าง), Loft อูเมดะ (โอซาก้า)
  • สนามบินนาริตะ/ฮาเนดะ – มีขายในโซนปลอดภาษีก่อนขึ้นเครื่อง แต่ราคาอาจแพงกว่าซื้อในเมือง 10-20% และเลือกได้น้อยกว่า เหมาะสำหรับซื้อของฝากนาทีสุดท้าย

เคล็ดลับช้อปให้คุ้ม

  • ซื้อครบ ¥5,000 ขึ้นไป (สินค้าอุปโภคบริโภค ต่อร้าน ต่อวัน) จะได้คืนภาษี 10% (Tax-free) ต้องแสดงหนังสือเดินทาง

ข้อควรระวัง Tax-free (มีผลตั้งแต่ 1 เมษายน 2025):

  • ยอดขั้นต่ำ: ¥5,000 ต่อร้าน ต่อวัน (นับเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค)
  • สินค้าจะถูกซีลในถุงพิเศษ ห้ามเปิดใช้ก่อนออกจากญี่ปุ่น หากต้องการใช้ก่อนต้องซื้อแบบคิดรวมภาษี
  • ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2025: สินค้าที่ส่งกลับทางพัสดุไปยังต่างประเทศ ไม่เข้าเกณฑ์ Tax-free อีกต่อไป ต้องนำติดตัวออกจากญี่ปุ่นเท่านั้น
  • ต้องแสดงสินค้า Tax-free ให้เจ้าหน้าที่ตรวจที่สนามบิน (โดยปกติไม่เข้มงวดมาก แต่ควรเตรียมไว้)
  • วิธีการชำระเงิน: บางร้านค้ามีการคืนภาษีแบบ “จ่ายเต็มก่อน/ไปรับคืนภายหลัง” ที่เคาน์เตอร์ Tax Refund ภายในห้างหรือที่สนามบิน ควรถามพนักงานล่วงหน้าเพื่อวางแผนการเงินและเวลาให้เหมาะสม
  • ดูป้ายโปรโมชัน ที่หน้าร้าน มักมี “特売” (โปรพิเศษ) หรือ “セット割” (ลดเมื่อซื้อเซ็ต)
  • ซื้อในวันธรรมดา บางร้านมีราคาถูกกว่าช่วงสุดสัปดาห์
  • เทียบราคาหลายสาขา ของร้านเดียวกัน เพราะแต่ละสาขาอาจลดต่างกัน

ซื้อในไทย:

  • ร้านเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า (Siam Paragon, CentralWorld, EmQuartier)
  • ช้อปออนไลน์ผ่าน Shopee, Lazada, Beauty Buffet
  • ร้าน Official Store ของแต่ละแบรนด์

ทั้งนี้ ข้อแม้คือ ราคาในไทยแพงกว่าซื้อที่ญี่ปุ่น 60-70% ดังนั้นถ้ามีโอกาสไปญี่ปุ่น แนะนำให้ช้อปกลับมาเลย คุ้มค่ากว่ามาก! ซึ่งคำแนะนำก็คือ แม้โทนเนอร์ญี่ปุ่น จะตอบโจทย์ทุกสภาพผิว แต่จะได้ผลลัพธ์ดีที่สุดต้อง เลือกแบรนด์ให้ตรงกับสภาพผิวนั่นเอง

ตารางสรุป: เลือกแบรนด์ตามสภาพผิว

สภาพผิว/ความต้องการแบรนด์แนะนำเหตุผล
ผิวแห้งมากHada Labo Gokujyun, DHC Mild LotionHyaluronic Acid 7 ชนิด / Olive Oil บำรุงล้ำลึก
ผิวแพ้ง่ายMuji Sensitive Skinไร้น้ำหอม แอลกอฮอล์ ใช้น้ำธรรมชาติ
ผิวมัน/ผิวผสมNaturie Hatomugiเนื้อบางเบา ซึมไว ไม่เหนียว ปรับสมดุลผิว
อยากได้ผิวกระจ่างใสKose Sekkisei, Kikumasamune Harisuyaสมุนไพร + Niacinamide ช่วยลดรอยหมองคล้ำ
อยากได้ความคุ้มค่าKikumasamune, Naturie500ml ราคาไม่ถึง ¥1,000 ใช้ได้นาน
อยากได้ผลลัพธ์พรีเมียมKose Sekkiseiสมุนไพรญี่ปุ่นระดับตำนาน ผลลัพธ์ชัดเจน

แนะนำตามสถานการณ์:

  • หากผิวแห้งมาก → Hada Labo, DHC Mild Lotion
  • ผิวแพ้ง่าย → Muji
  • ผิวมัน → Naturie
  • อยากได้ผิวกระจ่างใส → Kose Sekkisei, Kikumasamune
  • อยากได้บำรุงล้ำลึก → DHC

สรุป

อย่างที่บอกว่า แม้โทนเนอร์ญี่ปุ่นตอบโจทย์ทุกผิว แต่ก็ควรเลือกแบรนด์ให้ตรงกับสภาพผิวจะได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ซึ่งไม่ว่าจะเลือกแบรนด์ไหน อย่าลืมว่าความสม่ำเสมอสำคัญกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพง ใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1-2 เดือนถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน และถ้ามีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น อย่าลืมแวะดรักสโตร์ซื้อกลับมา เพราะนอกจากจะได้ของคุณภาพดีแล้ว ราคายังถูกกว่าซื้อในเมืองไทยอีกด้วย ลองเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ และเลือกช่วงที่มีโปรโมชันจะยิ่งคุ้มค่ามากขึ้น

สุดท้ายนี้ ผิวสวยมาจากการดูแลที่ถูกวิธีและสม่ำเสมอ โทนเนอร์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น อย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ นอนให้เพียงพอ และกันแดดทุกวัน แล้วผิวจะสวยขึ้นเองตามธรรมชาติ


หมายเหตุสำคัญ: บทความนี้อัปเดต ณ เดือนตุลาคม 2025 โดยข้อมูลราคาและสินค้าเป็นไปตามที่ปรากฏในตลาดญี่ปุ่นขณะนั้น

Contents Index
  1. 1 โทนเนอร์ญี่ปุ่นคืออะไร แตกต่างจากโทนเนอร์ทั่วไปยังไง
  2. 2 ทำไมโทนเนอร์ญี่ปุ่นถึงฮิตในไทย
  3. 3 เลือกโทนเนอร์ญี่ปุ่นให้เหมาะกับผิว
    1. 3.1 ผิวแห้ง
    2. 3.2 ผิวมัน
    3. 3.3 ผิวแพ้ง่าย
  4. 4 โทนเนอร์ญี่ปุ่นแบรนด์ดังที่ควรรู้จัก
    1. 4.1 Hada Labo
    2. 4.2 Muji
    3. 4.3 Kikumasamune
    4. 4.4 Naturie Hatomugi
    5. 4.5 Kose Sekkisei
    6. 4.6 DHC
  5. 5 คำศัพท์ญี่ปุ่นที่ควรรู้เวลาช้อปในร้าน
  6. 6 เคล็ดลับการใช้โทนเนอร์ญี่ปุ่นให้ได้ผลดีที่สุด
    1. 6.1 ข้อควรระวังในการเลือกใช้
    2. 6.2 ราคา + หาซื้อที่ไหน (Shopping Guide)
  7. 7 เปรียบเทียบราคา ญี่ปุ่น vs ไทย
  8. 8 ซื้อโลชั่น และโทนเนอร์ ที่ไหนในญี่ปุ่น
    1. 8.1 ร้านยอดนิยมอื่นๆ สำหรับนักท่องเที่ยว
    2. 8.2 เคล็ดลับช้อปให้คุ้ม
  9. 9 ตารางสรุป: เลือกแบรนด์ตามสภาพผิว
  10. 10 สรุป
Link to Meiji Step RakuRaku Cube LP
Link to Meiji Step RakuRaku Cube LP
Mmtb

Blogger : Mmtb

หนุ่มใต้ เคราดก หลงรักตัวอักษรไทย กับจักรยาน เมาท์เท่น ไบค์ วินเทจ

77 Posts

Link to Meiji Step RakuRaku Cube LP

โหวต

| Polls
โหวต | Polls
  • เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น คุณมี “เมนูในดวงใจ” ที่ตั้งใจจะไปกินให้ได้ไหม?

    View Results

    Loading ... Loading ...

สถานที่เที่ยว

| Feature
Link to Meiji Step RakuRaku Cube LP

กรณีฉุกเฉิน

| Emergency
  • Police

    110

  • Ambulance

    119

  • AMDA International Medical Information Center

    03-6233-9266

  • สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว

    090-4435-7812

  • สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า

    090-1895-0987

  • สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟุกุโอกะ

    090-2585-3027 หรือ 090-9572-1515

Link to Meiji Step RakuRaku Cube LP