ต่อ พาร์ท 2 กันกับ รีวิว เที่ยวโตเกียว โอไดบะ อาซากุสะ ทริปสบายครบรส จนตกหลุมรัก หลังจากที่พาคุณเที่ยวฟูจิ คาวาโกเอะกันแล้ว วันนี้เราจะมาเก็บบรรยากาศเมืองแสนศิวิไลซ์ จัดเต็ม เที่ยว ช๊อป ชิม ชิลล์
Day 4 : One Day Odaiba
เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยท้องฟ้าสดใส อากาศต้นเดือนตุลาคมกำลังสบายยี่สิบององศาหน่อยๆ เหมาะกับการเดินเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง รีวิว เที่ยวโตเกียว วันนี้เราเริ่มการเดินทางโดยใช้บัตร Subway (ในที่สุด) ขึ้นรถใต้ดินมาที่อุเอโนะ เพื่อต่อรถไฟไปโอไดบะ สำหรับใครที่สงสัยว่าใช้ Jr Tokyo Wide Pass ไปโอไดบะได้หรือเปล่า คำตอบคือได้ ไม่เสียเงินเพิ่มโดยใช้เส้นทางดังนี้
เริ่มจากนั่งรถไฟ JR Yamanote Line(Outer loop) สายสีเขียว ไปลงสถานี OSAKI จากนั้นต่อสาย Rinkai Line(ขาไป SHIN-KIBA) ไปลงสถานี Tokyo Teleport เท่านี้ก็มาถึงโอไดบะแล้ว ซึ่งรถไฟสาย Rinkai Line สามารถใช้ Jr Tokyo Wide Pass ขึ้นได้ฟรีทุกสถานี
เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนมาหน้าสถานี เราแนะนำให้มาขึ้นรถฟรี โดยรอรถที่ป้าย Tokyo bay shuttle bus ซึงนั่งฟรีตลอดสาย เส้นทางวิ่งของรถจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญรอบโอไดบะ เป็นวิธีที่แนะนำสำหรับคนที่มีพาสเพราะเที่ยวง่ายไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
เที่ยวโอไดบะสุดสะดวกด้วย Tokyo bay shuttle bus นังฟรี ไม่มีหลง
เที่ยวโอไดบะ จัดเต็มแบบเป็นมิตรกระเป๋าตังค์ ด้วย Tokyo bay shuttle รถบัสบริการฟรีที่พาคุณเที่ยวทั่วทุกจุดสำคัญบนเกาะที่มีเสน่ห์ สัญลักษณ์แห่งเทคโนโลยีที่ญี่ปุ่น
ขึ้นรถมาก็จะเจอกับแผนที่เที่ยว ไกด์บุ๊คหลากภาษา รวมถึงแผนผังการวิ่งรถวางไว้ให้หยิบง่ายๆ
ป้าย สถานี TOKYO TELEPORT เป็นป้ายหมายเลขสี่ รถบัสจะวิ่งวนเป็นลูป 1-10 ป้าย ซึ่งจุดหมายที่เราต้องการเป็นป้ายที่ 1 ดังนั้นก็นั่งวนไป
ถึงแล้วจุดหมายแรก บอกแล้วใช่ไหมว่าทริปนี้เป็นสายเนิร์ด ดังนั้นเราจะพลาดที่นี่ได้อย่างไร พอรถถึงป้ายหมายเลขหนึ่งก็ลงรถได้เลย
ก่อนเข้าชมพิพิธภัณธ์ก็ต้องซื้อบัตรเข้าชมก่อน สนนราคา คนละ 620 เยน สามารถเข้าชมการจัดแสดงแบบถวร และถ้าช่วงที่ไปมีนิทรรศการพิเศษก็มีสิทธิ์เข้าชมเช่นกัน
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เนื่องจากมื้อเช้ายังไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่ เลยขอแวะมาเติมพลังที่ Miraikan Cafe ชั้นที่ 5 กันก่อน ซึ่งคาเฟ่จะจำหน่ายอาหารพวก แซนวิซง่ายๆ ขนม กับเครื่องดื่มประเภท กาแฟ น้ำอัดลม ซึ่งราคา ตั้งแต่ 300-1000 เยน ราคาพอประมาณ รสชาติก็ใช้ได้ เราใช้เวลาตรงนี้ไม่มากเท่าไหร่เพราะอยากไปเที่ยวแล้ว
หลังจากอิ่มก็นั่งบันไดเลื่อนลงไปโซนนิทรรศการต่างๆ ที่ชั้น 2-3 เพื่อเยียมชมนวัตกรรมที่น่าสนใจ
ที่นี่แบ่งการแสดงนิทรรศการเป็นหมวดหมู่ต่าง อาทิ เรื่องอวกาศ นวัตกรรมด้านต่างๆ จัดแสดงอย่างน่าสนใจ เช่นหุ่นยนต์ตัวนุ่มที่ขยับตัวอย่างน่ารัก หุ่นยนต์ที่สามารถพูดคุย และแสดงออกท่าทางแทนผู้พูดที่ควบคุมไว้ และเรื่องน่าสนใจอีกมากมาย ที่ถ้าใครชอบเทคโนโลยี นวัตกรรมจะต้องชอบที่นี่ ข้อมูลต่างๆ มีภาษาอังกฤษ เข้าใจง่าย และผู้เข้าชมยังมีส่วนร่วมเล่นได้หลายกิจกรรม ซึ่งจะแบ่งเป็นรอบๆ ช่วงที่เราไปก็ทันดูเจ้า Asimo เต้นโชว์พอดี
ดูนิทรรศการชั้นบน ก็แวะลงมาเล่น Uni-Cub ทีชั้น 1 ซึ่ง Uni-Cub คือยานยนต์ที่บังคับได้ด้วยการโยกตัว ค่าเล่น 10 นาที 500 เยน นอกจากบังคับเล่นในที่ที่กำหนดให้ยังสามารถ รอรอบและนั่ง Uni-cub ทัวร์พิพิธภัณธ์ได้ด้วย
เดินเล่นกันจนถึงบ่าย ก็ได้เวลาอาหาร แต่ความหิวไม่ปราณีเลยว่าจะหาอะไรกินง่ายๆ ในนี้ นอกจากคาเฟ่ ที่นี้ยังมีร้านอาหาร Miraikan Kitchen ที่ชั้น 7 ซึ่งขายอาหารจานง่ายๆ และเครื่องดื่มราคาไม่แพง วิธีสั่งก็คือไปที่แคชเชียร์ สั่งอาหาร เครื่องดื่ม เมื่อรับอาหารก็เอาแก้วไปกดน้ำ เลือกกดซุปเองตามใจ เครื่องปรุงอะไรก็หยิบได้เลย
ลองสั่งเข้าหน้าปลาราดซอส รสชาติพอใช้ได้ เสียแต่ให้น้อยไปนิด เครื่องดื่มก็รสชาติพอใช้ เป็นแบบกดใส่น้ำแข็ง แต่ถ้าเทียบราคาอาหารกับวิว ขอบอกเลยว่าคุ้มมาก
โซนนั่งรับประทานอาหารที่นี่มีความพิเศษที่เป็นห้องกระจด สามารถนั่งชิลล์กินอาหาร เครื่องดื่ม ชมวิวมุมกว้างของโดไอบะได้สบายๆ ทั้งในร่มและกลางแจ้ง วันที่อากาศดีๆ เราเลยนั่งชมวิวด้านนอก เป็นอะไรที่ดีสุดๆ
ลาที่นี่ไปด้วยวิวตึก Fuji TV และห้างกันดั้ม บอกเลยว่าอากาศดี วิวเลิศ ใครมาโดไดบะไม่อยากให้พลาดที่นี่
สำหรับเป้าหมายต่อไป เรายังอินกับนวัตกรรมไม่เลิก ดังนั้นจึงต้องไป Panasonic Center เป็นจุดมุ่งหมายต่อไป โดยนั่งรถ Shuttle Bus กลับมาที่สถานี Tokyo Teleport นั่งรถไฟ Rinkai Line ไปลงสถานี Kokusai-tenjijō Station แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาที
Panasonic Center เป็นสถานที่จัดแสดงนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งคิดค้น โดยพานาโซนิก ซึ่งสามารถเข้าชมได้ฟรี ซึ่งแสดงนวัตกรรมทันสมัยน่าใช้ ซึ่งให้เราได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด
ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพงานโอลิมปิก 2020 นวัตกรรมช่วงนี้เลยจะเกี่ยวข้องกับเรื่องกีฬา ไม่ว่าจะเรื่องของการอำนวยความสะดวกของนักกีฬาต่างชาติ และตัวช่วยการจัดการต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีโซนเกมวิทยาศาสตร์ต่างๆ ให้เล่นฟรีที่ชั้นสองด้วย ใครที่สนใจเรื่องของนวัตกรรมที่จับต้องได้สามารถมาเยี่ยมชมที่นี่ได้ฟรีช่วง 10:00 – 18:00 น.
ใกล้ๆ กันกับ Panasonic Center ในระยะที่เดินถึงในสองนาที เป็นพื้นที่ลานกว้างที่สวยงามในยามค่ำคืน เลยไม่พลากเก็บภาพ ตึก Tokyo Big Sight ที่ตัวตึกรูปทรงแปลตาจะกลายเป็นจอฉายภาพในยามค่ำคืน
เที่ยวกันจนค่ำ แล้วคราวนี้แหละคือไคล์แม็ก เราจะพาคุณไปดูกันดั้มที่ Diver City Tokyo โดยการนั่งรถไฟกลับมาลง สถานี Tokyo Teleport แล้วเดินขึ้นสกายวอร์คไปที่ห้าง ถ้าใช้ Shuttle Bus ให้ลงป้ายที่ 5
เดินทะลุห้างไปอีกฝั่ง ชมกันดั้มตัวใหม่เปิดไฟอวดสักดา ซึ่งตรงนี้นับเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของโอไดบะเลยทีเดียว มาตอนกลางวันอาจสวยไปอีกแบบ แต่ตอนกลางคืนที่เปิดไปโชว์นี่แหละ สุดๆ
ด้วยความที่มาเที่ยวต้นเดือนตุลาคม ลานหน้ากันดั้มกำลังจัดงาน October Fest อยู่พอดี เลยแวะชมบรรยากาศการชิมเบียร์ ชิลล์ๆ ก่อนไปเดินเล่นชมวิวค่ำคืน
นอกจากกันดั้มกับวิวยามค่ำคืน ห้าง Diver City Tokyo ก็มีดีที่การช๊อปปิ้งเพราะเต็มไปด้วยร้านค้าชั้นนม คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขนมของฝากชิคๆ ร้านรองเท้าดัง ABC Shop ยังมี งานนี้เลยได้รองเท้าราคาคุ้มค่ามาหนึ่งคู่
เดินเที่ยวรัวๆ ก็หิวเอาการก็หาอะไรกินง่ายๆ ในห้างนี่แหละ เราเลือกร้านซูชิ The Premium Kaio Diver city sushi train เพราะดูว่าราคาไม่แรงเริ่มที่ 128 เท่านั้น
วิธีสั่งก็กดสั่งในแท็ปเล็ต ซึ่งจะมีภาพอาหาร ภาษาอังกฤษและราคาแสดงอยู่หน้าจอ ราคาก็เริ่มจาก 128-650 เยน มีทั้งซูชิ ซุป ขนม ไอศครีม มีน้ำชาบริการฟรี เวลาอาหารมาเสิร์ฟจะมาบนรถไฟชินคันเซ็ฯขนาดย่อม รวดเร็วทันใจ ความสดอร่อยถือว่าโอเคมาก ราคาไม่แรง สองคนกินจัดเต็มหมดไป 3,122 เยน
ส่งท้ายวันเที่ยวคุ้มด้วย เฟรปเป้กดเองจากแฟมิลี่มาร์ท ใครชอบบลูเบอร์รี่บอกเลยว่าจะรัก วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการใช้ JR Tokyo wide Pass โควต้า Subway เหลืออีกสองวัน มาดูกันว่า พรุ่งนี้เราจะใช้เที่ยวโตเกียวที่ไหนบ้าง
Day 5 : เที่ยวอาซากุสะ, Tokyo Station แวะ Shinjuku
เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนออกตะลุยโตเกียวนั้น เราขอพาทุกคนมารู้จักร้านขนมปังข้างโรงแรม โฮมเมดที่มีเจ้าของร้านเป็นคุณตาคุณยายน่ารัก
เพียงเดินเข้าร้านก็ได้กลิ่นขนมปังอบสดใหม่หอมๆ มีให้เลือกเยอะ ไส้บึ้ม อร่อยมาก ใครที่ชอบขนมปังขอบอกว่าไม่ควรพลาด ด้วยความดีงามนี้เองเราจึงขอฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ ก่อนจะเดินทางด้วย Subway โดยนั่งรถไฟไปเพียง 1 สถานี ไปลงสถานี G19 Asakusa
จุดหมายแรกของเราคือ Asakusa Culture Tourist Information Center อาคาร 7 ชั้นที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอาซากุสะ ซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดเซ็นโซจิ เข้าชมฟรี นอกจากมีข้อมูลมากมาย ยังมีวิดเด็ดๆ ให้ชมเพียบ
ชมวิวมุมสูงวัดเซ็นโซจิ ช่วงตุลาคม 2017 นั้นยังมีการก่อสร้างประตู แต่ก็ยังเปิดให้บริการและคนยังเยอะเสมอต้นเสมอปลาย โดยเฉพาะโซนตลาดนัด
ข้ามมาฝั่งตรงข้ามเข้าประตูมาจะเจอกับตลาดวัดเซนโซจิก่อน อย่างที่เห็นเลยว่าคนพลุกพล่านแม้เป็นวันธรรมดา ใครไม่ชอบคนพลุกพลานไม่แนะนำที่นี่ ทว่าก็ไม่ได้เลวร้าย คึกคักได้ฟีลน่าช๊อปปิ้ง โดยโซนร้านค้าแบ่งออกเป็นถนนช๊อปปิ้ง Nakamise ที่ตรงสู่ตัววัด จะมีคนเยอะกว่า
แต่ถ้าใครไม่ชอบคนเยอะ ยังมีถนนช๊อปิ้งที่ตั้งฉากกันชื่อ Shin Nakamise คนน้อย เลือกของสบาย สินค้าหลากหลาย ซึ่งเราได้เสื้อคลุมกิโมโนสวยเนื้อดีมากในราคาเพียง 1000 เยน
ตัดกลับมาที่ Nakamise เพื่อเดินตรงไปที่วัดเซนโซจิ ร้านรวงเต็มไปด้วยของอร่อยมากมาย หนึ่งในนั้นคือซาลาเปาทอดไส้ถั่วแดงซึ่งดีงามสุดๆ ใครอยากตามรอยเชิญที่ร้านป้ายเขียว
ใครอยากแชะภาพกับประตูแลนด์มาร์คขอบอกว่าจะมีเพื่อนเยอะหน่อย เพราะสถานที่นี้มีความแมสสูง ไปเที่ยวแล้วอุ่นใจเหมือนอยู่เมืองไทย สามารถวานพี่น้องชายไทยช่วยถ่ายรูปให้ได้
มาถึงทั้งทีต้องเซียมซีเสียหน่อยที่นี่มีภาษาอังกฤษทำให้เจ้าใจความหมาย นอกจากนี้มาถึงที่อย่าลืมจุดธูปและกวักควันเข้ากระเป๋าเพื่อความเป็นสิริมงคล ราคากำละ 200 เยน
ถึงจะคนเยอะไปนิดแต่ความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของวัดเซนโซจิยังมีอย่างเต็มเปี่ยม สถาปัตยกรรม โคมแดง ลวดลายก็ยังทำเอานักท่องเที่ยวประทับใจมากโข และใครที่อยากถ่ายภาพชิคๆ ก็ยังพอหามุมสวยๆ ถ่ายได้
ปิดท้ายวันด้วยวิว Asahi Beer Hall จากริมแม่น้ำสุมิดะ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเซ็นโซจิ จริงๆ แถบนี้มีที่ให้ชิลล์เอาท์มากมาย ไว้ว่างๆ เราจะพาตระเวนเจาะลึกอีกครั้ง แต่ตอนนี้เราต้องเตรียมไปจุดหมายต่อไป คือ สถานีโตเกียว
การเดินทางจากอาซากุสะ ไปสถานีโตเกียวที่สะดวกที่สุดสำหรับผู้มีบัตร Subway คือ นั่งสาย Ginza line มาลงสถานี Ginza (G9) แล้วเปลี่ยนขบวนไปสาย Marunouchi (M16) นั่งไปลงสถานี โตเกียว (M17) อันเป็นสถานีเก่าแก่และสวยคลาสสิคที่สุดในโตเกียว ซึ่งเฉพาะที่สถานีนี้ก็มีสถานที่ร่าสนใจล้อมรอบมากมาย ถ้าใครสนใจลองดูที่บทความนี้
5 จุด เช็คอินครบรส รอบ สถานีโตเกียว ที่ขาเที่ยวห้ามพลาด
เที่ยวโตเกียวสนุกๆ แบบไม่ต้องคิดมาก ลองตั้งต้นที่ สถานีโตเกียว สิ เพราะเราจะแนะนำ จุดน่าเช็คอินแบบปั๊วปัง ครบรสกันเลยทีเดียว
ทริปนี้เรียกได้ว่าแต้มบุญของเราไม่มากเท่าใดนัก นอกจากจะไม่เจอหมวกฟูจิแล้ว ด้านหน้าสถานีโตเกียวที่เป็นแลนด์มาร์กยังมีการก่อสร้างด้วย (ตุลาคม 2017) ดังนั้นเราจึงต้องไปหาของกินปลอบใจ
หลายคนบอกว่าร้านอาหารแถวๆ สถานีโตเกียวล้วนแต่แพงระยับ แต่ถ้าอยากหาร้านอร่อย ราคาน่ารัก เราขอแนะนำ โซนร้านอาหารใต้สะพานรถไฟ ฟังหน้าสถานีทิศเหนือ หรือง่ายๆ ออกมาทางตึกอิฐแดงแล้วเลี้ยวขวา จะเจอร้านเรียงกันมากมาย เราเลือกร้าน Nakau ร้านแฟรนไชน์ที่ดังเรื่องแกงกระหรี่เนื้อ ร้านนี้สั่งโดยการซื้อคูปองที่ตู้ ส่งให้พนักงานและรออาหาร และไม่ผิดหวังแกงกระหรี่เนื้อของที่นี่ยังเด็ดเหมือนเดิม เนื้อตุ้นนุ่มแทบละลาย หอมอร่อยสุดๆ สนนราคาจานละ 550 เยน เพิ่มเซ็ดเครื่องเคียงและน้ำอีก 120 เยน
เติมพลังกันจนอิ่มท้องก็ต้องเดินย่อย โดยเป้าหมายของเราคือการไปส่องสะพานแว่นของ พระราชวังโตเกียว เนื่องจากกินเยอะ เลยเลือกเดินไป ใช้เวลาราวๆ 15 นาทีซึ่งระหว่างทางจะพบบรรยากาศย่านสถานีโตเกียวที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า แต่ก็มีการจัดวางส่วนของสวนสาธารณะตลอดทาง ทำให้มีมุมถ่ายรูปสวยๆ มากมาย
เดินกินลมชมวิวมาจนถึงบริเวณพระราชวังโตเกียว ซึ่งหากต้องการเข้าชมต้องจองออนไลน์ล่วงหน้า ทว่ารอบๆ พระราชวังก็มีภูมอทัศน์งดงาม ก็มีสวนหิน และบรรยากาศรายล้อมที่น่าสนใจจึงดึงดูดให้เรามาเก็บภาพ ทั้งยังมีเส้นทางวิ่งที่สวยงามขวัญใจเหล่านักวิ่งอีกด้วย
แต่ดูท่าว่าแสงจะไม่เข้าข้าวเราเท่าไหร่เพราะยังไม่หกโมงเย็นดี แสงก็หมด แต่ถ้ามองด้วยตาขอบอกว่าก็สวยไปอีกแบบ และยังมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก
แต่ข้อดีของความเย็นย่ำค่ำ คือตึกที่เปิดไฟสว่างไสว บอกแล้วว่าแถบนี้ตึกสูงอลังการจริงๆ
ขากลับเราไม่ได้ย้อนทางเดิมแต่มาขึ้นรถไฟที่สถานี Otemachi ซึ่งอยู่ใกล้กว่าสถานีโตเกียวใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที จากนั้นนั่งรถไฟสาย Marunouchi (M18) ไปลงสถานี Shinjuku (M8) เพื่อแวะซื้อของ และหามื้อค่ำรับประทานกัน
ทางเชื่อมสถานีรถไฟนำเราไปสู่ห้าง Odakyu สำหรับใครอยากช๊อปปิ้งจะต้องชอบ เพราะทั้งห้าง และพื้นที่รายรอบเต็มไปด้วยร้านค้า ไม่ว่าจะเป็น Big Camera หรือ ดองกี้ แต่วันนี้เราจะพาคุณเข้าถึงความเป็นชาวญี่ปุ่น โดยการทัวร์ชั้นใต้ดินห้าง หรือ เดปาจิกะ
ถ้าใครอยากหาของกินของฝาก เดปาจิกะคือที่ที่ใช่ เพราะมีทั้งอาหาร ข้าวกล่อง ขนม ของฝาก ที่สาเหตุที่เรามาในเวลานี้ เพราะถ้าใกล้เวลาห้างปิด ข้าวกล่องลด 50% เป็นอะไรที่ฟินมาก
ฟินกับข้าวกล่องสุดน่ากินในราคาน่ารัก ก็ปิดท้ายวันด้วย ขนมหวาน ที่ทางเชื่อมก็มีร้านรวงอยู่มากมายจัด Pablo ออริจินอลมากินให้เต็มคราบ ที่ไทยมีก็จริงที่ญี่ปุ่นถูกกว่าเยอะ
Day 6 : ปิดท้าย Ueno ซ๊อปย่านสุดฟิน อิ่มบรรยากาศ
วันที่ 6 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปเราลากกระเป๋าออกจากโรงแรม และฝากไว้ที่ Coin Locker สถานี Ueno เพราะว่าเราต้องนั่งรถไฟด่วนกลับนาริตะที่สถานีนี้ วันนี้เลยขอเที่ยวสบายๆ รอบสถานี เริ่มที่ Ueno Park
สวนอุเอโนะกินอาณาบริเวณกว้างมาก มาเที่ยวที่เดียวมีกิจกรรมหลากหลายให้เลือก ทั้งเที่ยวสวสสัตว์ สักการะShinobazunoike Bentendo Temple พายเรือ ปั่นเรือเป็ด ไปจนถึงชมวิวอันสดชื่นใจกลางเมือง
สำหรับใครที่สนใจว่าที่สวนอุเอโนะ และรอบสถานีมีที่ใดน่าสนใจเราได้เขียนบทความเจาะลึกไว้ที่นี่
เที่ยวรอบ สถานี อุเอโนะ สนุกครบ ชม ช๊อป ชิลล์ อินโตเกียว
ย่านอุเอโนะนี่ขึ้นชื่อเป็นแหล่องท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวไทย วันนี้เราจะชวนคุณมาเที่ยวกันง่ายๆ รอบ สถานี อุเอโนะ รับรองว่าเห็นใกล้สถานีแบบนี้ แต่มีความครบรสทั้ง ชม ช๊อป ชิลล์
เที่ยวสวนอุเอโนะจนสดชื่นก็ได้เวลาเปลี่ยนสถานที่ โดยข้ามถนนมาที่ฝั่ง Ameyokocho หรือตลาดอะเมะโยเกะขวัญใจคนไทยนั่นเอง
แวะกินมื้อเที่ยงที่ Taishoen Ueno ร้านเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งเซ็ตอาหารกลางวันอิ่มอร่อยในราคาเบาๆ ใครสนใจตามรีวิวไปได้เลย
รีวิว มื้อเที่ยงสุดฟิน Taishoen เนื้อย่าง อุเอโนะ เซ็ตสุดประหยัด
ใครชอบกินเนื้อย่างยกมือขึ้น เราขอแนะนำ Taishoen ร้าน เนื้อย่าง อุเอโนะ ที่มีความใกล้สถานี เดินแค่ 3 นาทีก็ฟินได้ แถมยังจัดเซ็ตสุดคุ้มน่าลิ้มลอง มาดูกันว่าน่ากินขนาดไหน
อิ่มกับเนื้อย่างก็มาเดินช๊อปต่อกันที่ตลาด ของที่ขายก็หลากหลาย ทั้งของสด ของกิน ของฝาก ของใช้ นักท่องเที่ยวค่อนข้างคึกคัก
เดินออกไปประมาณ 10 นาทีไปที่ตึกม่วง Takeya ในตำนาน มหึมางานช๊อป ต้องเลือกโซนดีๆ เพราะเดินยังไงก็ไม่หมด จัดหมวดหมู่ช๊อปง่าย มีโบรชัวร์ภาษาไทย แต่โดยรวมราคาแพงกว่าด้านนอกเล็กน้อย
เดินซื้อของไป ก็ต้องแปลกใจ เพราะได้ยินเสียงภาษาไทยเป็นระยะ แถมยังใช้บัตร The One Card สะสมแต้มได้อีก ประหนึ่งช๊อปที่ไทยเลยทีเดียว
Takeya หรือ ตึกม่วง Ueno มันดีอย่างไร ทำไมใคร ๆ ก็อยากไป
Takeya หรือที่ขาช้อปชาวไทยเราเรียกติดปากกันว่า ‘ตึกม่วง’ แหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนและชาวไทยอย่างเราที่แห่กันมาที่นี่เพื่อช้อปปิ้งทุกสิ่งอย่าง เพราะที่นี่เค้ามีขายตั้งแต่ขนมยอดฮิตไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ !
ช๊อปปิ้งจนถึงห้าโมงเย็น ก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบิน ก็จัดแจงรับกระเป๋า และนำคูปองไปออกตั๋วเดินทางสู่สนามบินนาริตะ
เช็คอิน โหลดกระเป๋าชิลล์ๆ แบบไม่ต้องเร่งรีบเพราะเป็นไปตามแผน วันสุดท้ายไม่แนะนำให้เที่ยวไกลสถานีหลักมากเพื่อจะได้ไม่ต้องผิดพลาด เที่ยวบิน XJ 607 เป็นเที่ยวบิน บินค่ำ ถึงดึก สบายๆ
รีวิว air asia x ญี่ปุ่น XJ 606 – 607 บินตรง ดอนเมือง-นาริตะ
ไปโตเกียวรอบนี้แอดใช้บริการ แอร์เอเชียเอ็กซ์ เลยขอส่งรีวิวซักหน่อยสำหรับใครที่สนใจบินโลว์คอสแบบตรงๆ ด้วยเที่ยวบิน XJ 606 และ XJ 607 ไปดูกันว่า air asia x ญี่ปุ่น น่าสนหรือไม่
ข้อสรุป
จบทริป โตเกียวและความสนุกรายรอบ ถ้าใครอยากเที่ยวทั้งโตเกียว และรอบๆ ก็สามารถนำรีวิวนี้ไปเป็นไกด์ในการวางแผนได้ โดยเฉพาะการใช้พาสที่จะช่วยให้คุณประหยัดขึ้นมาก สำหรับทริปต่อไปเราจะพาคุณไปเที่ยวที่ไหนกันต่อนั้น รอติดตามกันได้เลย
ติดตามรีวิวพาร์ท 1 ได้ที่
[รีวิว] เที่ยวโตเกียว ฟูจิ ไซตามะ คาวาโกเอะ ทริปสบายครบรส จนตกหลุมรัก (Part1)
อยากเที่ยวโตเกียว กับเมืองรอบๆ เที่ยวยังไงแบบไหนดี วันนี้ชาขอเอารีวิว รีวิว เที่ยวโตเกียว ฟูจิ โอไดบะ คาวาโกเอะ มาฝากกัน พร้อมแนะนำพาสดีงามที่ช่วยให้การเดินทางคุ้มค่าสุดๆ มาดูกันดีกว่าว่าจะสนุกครบรสขนาดไหน
สนใจที่เที่ยวโตเกียวอื่นๆ
อัพเดทจุใจ 4 แผนที่โตเกียว ภาษาไทย พร้อมไกด์บุ๊คและแอพ ครอบคลุมรอบข้าง พร้อมวาร์บไปโหลด!!
ใครจะไปโตเกียว ยกมือขึ้น วันนี้ เราจัดหนัก แนะนำการท่องเที่ยวแบบไม่มีสะดุดด้วย แผนที่โตเกียว พร้อมไกด์บุ๊คภาษาไทยฉบับอัพเดท ที่อัดแน่นด้วยรายละเอียดการเดินทางและสถานที่ท่องเที่ยว รับรองว่ามีไว้เที่ยวได้สบายแม้ไปเป็นครั้งแรก