มารู้จักเมือง Mito กัน
เมือง Mito เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด Ibaraki และเป็นเมืองหลักของจังหวัด มีสถานีหลักคือ Mito ซึ่งเมือง Mito ถือว่าเป็นอีกเมืองที่มีประวัติศาสตร์มาช้านานโดยเฉพาะตำนานของ Tokugawa Mitsukuni ผู้ซึ่งเป็น
ผู้ตรวจการที่ปลอมเป็นตัวชาวบ้าน คอยดูสารทุกข์สุขดิบให้ชาวเมือง จนเรื่องราวของเขานั้นถูกนำไปสร้างเป็น
TV Series ชื่อว่า Mito Komon
รูปปั้นของท่าน Tokugawa Mitsukuni ที่สถานี Mito
การเดินทางมายังเมือง Mito
สามารถนั่งรถไฟ Limited Express มาจากสถานี Ueno ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 77 นาที
เอาล่ะหลังจากที่ได้รู้จักเมืองนี้คร่าวๆแล้ว เราจะเริ่มเดินทางกันเลย
การเดินทางของผมนั้นเริ่มจากเมือง Sendai ครับ โดยนั่งรถไฟ Shinkansen จาก Sendai มาลงที่ Ueno แล้วเปลี่ยนไปนั่ง Limited Express มาลงสถานี Kairakuen ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ดังนั้นเพื่อนๆ ที่เดินทางจากโตเกียวก็สามารถเที่ยวแบบ One Day Trip ได้สบายๆ
เพื่อนๆ อาจจะงงว่าทำไมผมถึงเน้นเน้นตรงคำว่า Kairakuen เพราะว่า สถานี Kairakuen นั้นจะเปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์ และ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ช่วงเทศกาลดอกบ๊วยบาน ซึ่งวันที่ผมนั้นเป็นวันเสาร์พอดีเลยได้สามารถลงสถานีนี้ได้
*ซึ่งในตั๋วจะเขียนสถานีปลายทางว่า Mito แต่เพื่อนๆ ไม่ต้องตกใจนะครับ รถจะจอดที่สถานี Kairakuen ด้วย
ส่วนเพื่อนๆ ที่ไม่ได้มาช่วงเวลาดังกล่าว สามารถนั่งรถไฟไปลงสถานี Mito แล้วนั่งรถบัสมาที่สวนแห่งนี้ได้นะครับ
สวน Kairakuen
สวน Kairakuen ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น (อีก 2 สวน คือสวน Kenrokuen ที่จังหวัด Ishikawa และ สวน Korakuen ที่จังหวัด Okayama) โดยสวนแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1841 โดย Tokugawa Nariaki ซึ่งสวน Kairakuen จะมีความแต่งต่างกับอีก 2 สวน ตรงที่ สวนแห่งนี้สร้างมาเพื่อประโยชน์ของสาธารณะโดยแท้จริง ซึ่งประชาชนก็สามารถใช้สวนนี้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้ด้วย แต่อีก 2 สวนนั้น ได้ถูกสร้างมาเพื่อชนชั้นปกครอง ที่สวนแห่งนี้จะรายล้อมไปด้วยต้นบ๊วยนับ 100 ต้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวสวนนี้คือ ช่วงเทศกาลดอกบ๊วย (กลางเดือน กุมภาพันธ์ – ปลายเดือน มีนาคม ของทุกปี)
เพื่อนๆ สามารถดูแผนที่สวนได้จากที่นี่ครับ* แนะนำให้เพื่อนๆดูแผนที่ไปด้วยในระหว่างอ่านบทความจะเข้าได้ง่ายครับ
หลังจากที่ได้รู้จักประวัติของสวนแห่งนี้คร่าวๆ แล้ว เราไปเที่ยวกันต่อเลย เมื่อออกจากสถานี Kairakuen แล้ว ก็จะพบกับทางขึ้นไปยังสวน ซึ่งช่วงเทศกาลก็มีร้านค้ามาขายอาหารอยู่ตั้งแต่ทางขึ้นเลย
ส่วนด้านบนก็จะมีร้านอาหารอีกมากมายให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อครับ
ที่บริเวณทางเข้าสวนก็จะมีป้ายขนาดใหญ่ที่บอกว่า สวนแห่งนี้เป็น มรดกของญี่ปุ่น (Japan Heritage) อีกด้วย
ภายในสวนก็จะมีดอกบ๊วยบานสะพรั่งไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกนับ 100 ต้น
เพื่อนๆสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม เข้าไปรับประทานภายในสวนได้ด้วยนะครับ ชาวญี่ปุ่นมักจะปูเสื่อ
นั่งรับประทานอาหาร ดื่มเบียร์ กันใต้ต้นบ๊วยที่ดอกบานสะพรั่ง ซึ่งก็จะได้บรรยากาศฟินน์ๆ อีกแบบหนึ่ง รับประทานเสร็จแล้วอย่าลืมเก็บขยะไปทิ้งในจุดที่เขากำหนดไว้ด้วยนะครับ
เนื้อย่างร้อนๆ ยิ่งกินท่ามกลางดงดอกบ๊วย ขอบอกว่าฟินจริงๆ
ที่นี่ยังมีต้นซากุระต้นใหญ่ด้วยซึ่งเรียกกันว่า Sakon No Sakura ซึ่งมีอายุนับ 100 ปีเลยทีเดียว
อาคาร Kobuntei
ถัดจากต้นซากุระไปเพื่อนๆ ก็จะมองเห็นอาคารทรงโบราณอยู่หลังหนึ่งซึงอาคารนี้มีชื่อว่า Kobuntei ซึ่งเป็นอาคารที่ออกแบบโดยท่าน Tokugawa Nariaki โดยอาคารแห่งนี้ได้ถูกระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จนเสียหายอย่างหนัก ก่อนที่จะบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1958 ปัจจุบันอาคารแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมด้านในได้โดยมีค่าเข้าคนละ 200 เยน ซึ่งด้านบนสามารถชมวิวสวนนี้จากมุมสูงได้
Togyokusen Spring
จาก Kobuntei ถ้าเพื่อนๆเดินมาทางป่าไผ่ (โซนตะวันตกของสวน) เมื่อเดินเข้ามาได้ซักพักแล้วจะพบกับบ่อน้ำพุ
ที่ชื่อว่า Togyokusen Spring ซึ่งในอดีตนั้นมีความเชื่อว่าน้ำที่มาจากบ่อแห่งนี้เป็นน้ำบริสุทธิ์ โดยจะนำน้ำจากบ่อแห่งนี้ไปประกอบพิธีการชงชา
Nankai No Dokutsu
ทางด้านทิศใต้ของสวนนี้ เพื่อนๆจบพบกับซุ้มประตูสำหรับเข้าถ้ำ ซึ่งเรียกว่า Nankai No Dokutsu (สำหรับเพื่อนๆ ที่ดูแผนที่ประกอบด้วย ให้ลองดูทางขวาล่างของแผนที่นะครับที่เขียนว่า Cave On South Precipce) ซึ่งในอดีตนั้นได้ใช้เป็นเหมือง โดยหินจากถ้ำแห่งนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นทางน้ำ Kasahara, ทำบ่อน้ำที่ Kobuntei และ บ่อTogyokusen Spring โดยถ้ำแห่งนี้มีความลึกอยู่ที่ 150 เมตร
เนื่องจากอาจจะมีอันตรายแก่นักท่องเที่ยวดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้
บรรยากาศดอกบ๊วยบาน ณ สวน Kairakuen แบบจัดเต็มเพื่อให้เพื่อนๆได้ชมกันอย่างจุใจ
ที่นี่นอกจากต้นบ๊วยแล้วยังมีต้นไม้ชนิดอื่นๆ ให้เดินชมภายในสวนด้วย
สวน Kairakuen
ที่อยู่ | 1 Chome Tokiwacho, Mito, Ibaraki 310-0033 |
---|---|
วิธีเดินทาง | ช่วงเทศกาลดอกบ๊วยในวันเสาร์ และ วันหยุด สามารถนั่งรถไฟจาก Ueno มาลงสถานี Kairakuen ได้เลย ช่วงเวลาปกติ จากสถานี Mito ให้นั่งรถบัสมาลงที่สวน ได้เลย |
เวลาทำการ | 20 กุมภาพันธ์ – 30 กันยายน เปิดตั้งแต่เวลา 6.00 น – 19.00 น / 1 ตุลาคม – 19 กุมภาพันธ์ เปิดตั้งแต่เวลา 07.00 น. – 18.00 น. *ถ้าเข้าสวนตั้งแต่หลัง 17.00 น. เข้าได้เฉพาะประตูฝั่งตะวันออก |
ราคา | ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน |
Website | ibarakiguide |
โคโดคัง ( Kodokan ) อดีตโรงเรียนประจำเมืองที่รายล้อมไปด้วยต้นบ๊วยนับ 100 ต้น
การเดินทางมายังโคโดคังนั้น ให้กลับไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kairakuen แล้วนั่งรถไฟมาลงสถานี Mito
เมื่อมาถึงสถานี Mito ให้เพื่อนออกสถานีทางประตู North Gate นะครับ ถ้าเพื่อนออกประตูตรงที่เป็น Skywalk จะได้พบกับรูปปั้นชาย 3 คน ซึ่งเขาคือ Mito Komon ผู้ตรวจการของเมือง Mito ในยุคก่อน ซึ่งเรื่องราวของท่านได้ถูกทำมาเป็นละครทีวีด้วย ชื่อว่า Mito Komon
ให้เพื่อนๆ เดินมาทางทิศเหนือนะครับ สังเกตป้าย Sannomaru History Road ไว้นะครับ
ให้ใช้โรงแรม Keisei Hotel เป็นจุดสังเกตนะครับ
ระหว่างเดินก็จะมีดอกบ๊วยให้ชมแบบไม่ขาดสายครับ
เดินมาซักพักก็จะเห็นป้ายบอกทางไป Kodokan hall ครับ
เมื่อมาถึงแล้ว ผมจะขอเล่าประวัติของที่นี่คร่าวๆ ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักก่อน ที่นี่เรียกว่า Kodokan ก่อตั้งโดย Tokugawa Nariaki ในปี ค.ศ. 1841 โดยสร้างมาเป็นโรงเรียนที่สอนวิชาบุ๋น และ บู๊ เพื่อป้องกันการรุกรานของชาวต่างชาติ ซึ่งที่นี่สอนวิชาอย่าง ศิลปะป้องกันตัว, ดนตรี, แพทย์, ดาราศาสตร์, วิชาการทหาร เป็นต้น โดยที่นี่จะรับสมัครนักเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป Kodokan ได้ยุติการเรียนการสอนในปี ค.ศ. 1872 ปัจจุบัน ที่นี่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และ อีก 1 จุดที่ชมดอกบ๊วยบานได้สวยที่สุด
ที่นี่ก็เป็นมรดกของญี่ปุ่น (Japan Heritage) อีกด้วย
ภายอาคารหลักนั้นได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แนวประวัติศาสตร์ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้
ส่วนด้านนอกอาคารนั้นเพื่อนๆ สามารถเดินชมดอกบ๊วยได้อย่างเต็มอิ่มเลยที่เดียว
Kodokan
ที่อยู่ | 1-6-29 Sannomaru, Mito, Ibaraki 310-0011 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Mito เดินออกประตู North Exit แล้วเดินมาทางเหนืออีก 10 นาที |
เวลาทำการ | 20 กุมภาพันธ์ – 30 กันยายน เปิดตั้งแต่ 9.00 น. – 17.00 น. / 1 ตุลาคม – 19 กุมภาพันธ์ เปิดตั้งแต่ 9.00 น. – 16.30 น. ปิดวันที่ 29 – 31 ธันวาคม |
ราคา | ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 200 เยน |
Website | ibarakiguide |
ข้อสรุป
การเที่ยวเมือง Mito นั้นสามารถเที่ยวได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าเพื่อนๆ ได้มีโอกาสมาช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนมีนาคม เพื่อนก็จะได้เจอกับดอกบ๊วยบานแบบสวยงามตระการตา ซึ่งจะเป็นความทรงจำดีๆ ว่าครั้งนึงได้มาเที่ยวเมืองนี้ช่วงดอกบ๊วยบาน และที่สำคัญคือใกล้โตเกียว สามารถเที่ยวแบบ One Day Trip ได้สบายๆ เพื่อนๆ ที่อ่านบทความนี้จบไปแล้วก็สามารถเที่ยวตามได้ง่ายๆ