รวม 6 โลชั่น/โทนเนอร์ญี่ปุ่นตัวดัง ที่ต้องซื้อจาก ดรักสโตร์ (อัปเดต 2025)

12/01/2024 (อัพเดทเมื่อ 15/10/2025)
ใครที่เคยไปเดินดรักสโตร์ในญี่ปุ่น คงต้องตะลึงกับแถวโทนเนอร์ที่ยาวเหยียดจนตาลาย แต่รู้ไหมว่าโทนเนอร์ญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ "น้ำเช็ดหน้า" ธรรมดา แต่คือไอเท็มสกินแคร์ที่สาวญี่ปุ่นถือว่าขาดไม่ได้ เพราะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวแบบจัดเต็ม วันนี้จะพาไปรู้จักว่าทำไมโทนเนอร์ญี่ปุ่นถึงฮิตขนาดนี้ มีแบรนด์ไหนน่าซื้อบ้าง และจะเลือกให้เหมาะกับผิวตัวเองได้อย่างไร

โทนเนอร์ญี่ปุ่นคืออะไร แตกต่างจากโทนเนอร์ทั่วไปยังไง

สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ เมื่อคนญี่ปุ่นพูดถึง “โลชั่น” (Lotion) พวกเขานั้น หมายถึงโทนเนอร์ ไม่ใช่ครีมทาผิวแบบที่เราคุ้นเคย ซึ่งนั่นอาจทำให้นักช้อปมือใหม่งงได้ว่า ทำไมขวดเขียนว่าโลชั่นแต่เนื้อเป็นน้ำบางๆ นั่นเอง ซึ่งจุดต่างที่ชัดที่สุดของโทนเนอร์ญี่ปุ่นก็คือ ไม่ได้เน้นเช็ดคราบสกปรก หรือสารตกค้าง แบบโทนเนอร์ตะวันตก แต่เน้น “เติมน้ำให้ผิว” เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป นั่นทำให้เนื้อสัมผัสของโทนเนอร์ญี่ปุ่นมักจะชุ่มชื้นและหนืดกว่า บางยี่ห้อมาในขวดใหญ่ขนาด 500ml ที่ใช้ได้ทั้งตัว หรือจะชุบสำลีทำโลชั่นมาส์กหน้าก็ได้โดยไม่ต้องเสียดาย ด้วยคอนเซ็ปต์แบบนี้ โทนเนอร์ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นไอเท็มยอดนิยมของสาวญี่ปุ่น และแน่นอน รวมถึงคนไทยที่หลงรักสกินแคร์ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน

ทำไมโทนเนอร์ญี่ปุ่นถึงฮิตในไทย

คำตอบง่ายๆ คือ ตอบโจทย์ครบทั้งคุณภาพและราคา ซึ่งโทนเนอร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้น มีสูตรที่อ่อนโยน เน้นความชุ่มชื้น และที่สำคัญคือมีหลากหลายสูตรให้เลือกตามสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งที่ต้องการความชุ่มชื้นแบบจัดหนัก ผิวมันที่ต้องการเนื้อบางเบา หรือผิวแพ้ง่ายที่ต้องการสูตรเรียบง่าย แถมราคาก็เข้าถึงง่ายกว่าแบรนด์ตะวันตกอีกหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะเมื่อซื้อที่ญี่ปุ่น ก็ยิ่งคุ้มค่าขึ้นไปอีก บางแบรนด์ขวดใหญ่ราคาหลักร้อยแต่ใช้ได้หลายเดือน ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนที่ชอบซื้อกลับมาฝากตัวเอง (และฝากเพื่อนๆ ด้วย)

เลือกโทนเนอร์ญี่ปุ่นให้เหมาะกับผิว

ก่อนจะตัดสินใจซื้อ โลชั่น หรือโทนเนอร์ญี่ปุ่น หลักการสำคัญคือ อ่านส่วนผสม และ เลือกตามสภาพผิว ถ้าเป็นผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงโทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำหอมเข้มข้น แต่ถ้าเป็นผิวปกติหรือผิวมัน สูตรที่มีแอลกอฮอล์เล็กน้อยก็อาจช่วยให้รู้สึกสดชื่นได้

ผิวแห้ง

ถ้าผิวแห้งจัด สิ่งที่ต้องมองหาคือ Hyaluronic Acid, Ceramide และ Glycerin ซึ่งช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและกักเก็บน้ำในผิว เนื้อสัมผัสควรเข้มข้นกว่าปกติ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหนียวเกินไป เพราะผิวแห้งต้องการความชุ่มชื้นแบบจัดเต็มจริงๆ ตัวอย่างที่เด่นสุดคือ Hada Labo Gokujyun ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหนึบชุ่มชื้นสุดๆ จนกลายเป็นตำนานในวงการสกินแคร์ญี่ปุ่น

ผิวมัน

ผิวมันต้องการโทนเนอร์ที่ เนื้อบางเบา ซึมไว และไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ มองหาสูตรที่มีสารสกัดพืชช่วยลดความมัน หรือสารที่ช่วยปรับสมดุลผิว แต่ยังคงเติมน้ำให้ผิวได้เพียงพอ ซึ่ง Naturie Hatomugi คือตัวเลือกยอดนิยม เพราะซึมไวมาก ไม่เพิ่มความมัน แต่ช่วยเติมน้ำให้ผิวดูสมดุลและแข็งแรง

ผิวแพ้ง่าย

สำหรับผิวแพ้ง่าย คีย์เวิร์ดคือ Minimalist และ Free-from หรือก็คือสูตรเรียบง่ายที่หลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ และส่วนผสมที่อาจระคายเคือง ซึ่ง Muji Sensitive Skin เป็นตัวอย่างที่ดีมาก เพราะเน้นส่วนผสมที่จำเป็นจริงๆ ไม่มีส่วนเกินที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง ใช้สบายใจได้แม้ผิวแพ้ง่ายสุดๆ

โทนเนอร์ญี่ปุ่นแบรนด์ดังที่ควรรู้จัก

มาถึงส่วนที่หลายคนรอคอย กับการรีวิวโลชั่น และโทนเนอร์ญี่ปุ่นตัวดัง แบรนด์ดัง ที่เวลาเดินดรักสโตร์ญี่ปุ่นยังไงก็ต้องเจอแน่นอน พร้อมข้อมูลว่าแต่ละยี่ห้อเหมาะกับใครบ้าง

Hada Labo

ถ้าพูดถึงโทนเนอร์ญี่ปุ่น หลายคนนึกถึง Hada Labo เป็นอันดับต้นๆ เพราะโด่งดังเรื่อง Hyaluronic Acid หลายชนิดในขวดเดียว ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นแบบจัดเต็มหลายระดับ ซึ่งรุ่นดังที่สุดคือ Gokujyun Moist ที่เหมาะสำหรับผิวแห้ง ให้ความชุ่มชื้นแบบเห็นผลชัดเจน โดยสูตรใหม่ปี 2024-2025 ได้อัปเกรดเป็น Hyaluronic Acid 7 ชนิด ที่เติมความชุ่มชื้นได้ทรงพลังกว่าเดิม ส่วน Shirojyun Brightening เป็นสูตรเน้นผิวกระจ่างใสที่เหมาะกับคนอยากได้ผิวโปร่งใสขึ้น

ราคา: 💰💰 (ระดับกลาง) ประมาณ ¥990 (≈฿215) | ขนาด: 170ml

Muji

Muji มาในคอนเซ็ปต์ “เรียบง่ายแต่ดี” ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โทนเนอร์ของ Muji ใช้ น้ำธรรมชาติจากคามาอิชิ (Kamaishi) จังหวัดอิวาเตะ เป็นฐาน ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแอลกอฮอล์ เน้นส่วนผสมที่จำเป็นจริงๆ จึงใช้สบายใจสำหรับผิวแพ้ง่าย ซึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมสุดคือ Light Toning Water สูตร Sensitive ที่ปรับสูตรและแพ็กเกจใหม่ในปี 2025 พร้อมรุ่น High Moisture สำหรับผิวแห้ง มีหลายขนาดตั้งแต่แบบพกพาไปจนถึงขวดใหญ่ ยิ่งซื้อที่ญี่ปุ่นยิ่งคุ้มเพราะราคาถูกกว่าเมืองไทยพอสมควร และข้อดีอีกอย่างคือหาซื้อง่ายมาก เพราะร้าน Muji มีแทบทุกห้างสรรพสินค้าใหญ่ในญี่ปุ่น

ราคา: 💰 (ประหยัด) ประมาณ ¥1,190 (≈฿255) | ขนาด: 400ml

Kikumasamune

ชื่อนี้อาจออกเสียงยากหน่อย แต่ความดังไม่ธรรมดา เพราะขึ้นชื่อว่า “โทนเนอร์ข้าวสาเก” ที่ใช้สารสกัดจากสาเกญี่ปุ่นเป็นส่วนผสมหลัก ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น โดยจุดเด่นที่หลายคนชอบคือ ขวดใหญ่มาก (500ml) ในราคาไม่แพง ใช้ได้นานมาก เหมาะกับคนที่อยากได้ทั้งความคุ้มค่าและผลลัพธ์เรื่องผิวใส บางคนใช้ทำโลชั่นมาส์กทุกวันก็ยังใช้ได้เป็นเดือนๆ และปัจจุบันมีรุ่นใหม่ “Harisuya” (ขวดม่วง) ที่เพิ่มส่วนผสม Niacinamide ช่วยเรื่องผิวกระจ่างและลดรอยหมองคล้ำได้ดีขึ้น ซึ่งขายควบคู่ไปกับสูตรเดิม 2 แบบ (ชมพูและส้ม) ที่ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง กับเนื้อสัมผัสค่อนข้างบางเบา ซึมง่าย ไม่เหนียว เหมาะกับผิวทุกประเภท โดยเฉพาะคนที่อยากได้ผิวกระจ่างแบบไม่ต้องง้อครีมราคาแพง

ราคา: 💰 (คุ้มค่าสุด) ประมาณ ¥990 (≈฿215) | ขนาด: 500ml 

Naturie Hatomugi

ถ้าพูดถึง “ลูกเดือย” (Hatomugi) ต้องนึกถึง Naturie เลย เพราะเป็นแบรนด์ที่ทำให้สารสกัดจากลูกเดือยฮิตติดชาร์ตในเมืองไทย สารนี้ช่วยให้ผิวเนียนใส ลดการอักเสบ และปรับสมดุลผิว ซึ่ง Naturie Hatomugi Skin Conditioner คือไอเท็มดังตลอดกาลที่เนื้อเบาบางซึมง่ายสุดๆ โดยสูตรใหม่ที่อัปเดตในปี 2025 ได้เพิ่มสารสกัดจากลูกเดือยถึง 20% และไม่มีแอลกอฮอล์ ทำให้อ่อนโยนกว่าเดิม ใช้ได้ทั้งเป็นโทนเนอร์ปกติหรือชุบสำลีทำมาส์กหน้า ขวดใหญ่ใช้ได้นาน ถือว่าคุ้มค่ามาก เหมาะกับผิวมันและผิวผสม แต่ผิวแห้งก็ใช้ได้ถ้าเติมครีมบำรุงตามด้วย

ราคา: 💰 (คุ้มค่า) ประมาณ ¥750 (≈฿160) | ขนาด: 500ml

Kose Sekkisei

นี่คือโทนเนอร์ระดับตำนานที่มีมาตั้งแต่ปี 1985 และยังคงขายดีเรื่อยมาจนทุกวันนี้ Sekkisei รวม สมุนไพรญี่ปุ่นหลายชนิด อย่าง Angelica, Coix Seed และ Melothria ที่ช่วยเรื่องความขาวกระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ โดยในปี 2024 ได้เพิ่มสูตรใหม่ “Brightening Essence Lotion” ที่เน้นเรื่องความกระจ่างใสมากขึ้น ขายควบคู่ไปกับสูตรดั้งเดิม (ขวดน้ำเงินเข้ม) ที่ยังคงได้รับความนิยม จุดเด่นคือผลลัพธ์ชัดเจนเรื่องผิวใส เหมาะกับคนที่กังวลเรื่องผิวหมองคล้ำและพร้อมลงทุนกับสกินแคร์คุณภาพดี มีกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ ที่บางคนชอบมาก แต่บางคนอาจไม่ชอบ แนะนำให้ทดลองกลิ่นก่อนซื้อ

ราคา: 💰💰💰 (พรีเมียม) ประมาณ ¥5,500 (≈฿1,180) | ขนาด: 200ml

DHC

DHC เป็นแบรนด์ที่มีทั้งสกินแคร์และอาหารเสริม โด่งดังเรื่องคุณภาพและการใช้สารสกัดจากธรรมชาติ โดยภาพรวมของแบรนด์ DHC มักใช้ Olive Virgin Oil (น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์) เป็นส่วนผสมเด่นในหลายผลิตภัณฑ์ รุ่นหลักของโทนเนอร์คือ DHC Mild Lotion (สูตรไร้แอลกอฮอล์) ที่เน้นสารปลอบประโลมผิวจากสารสกัดแตงกวาและชะเอม ช่วยให้ผิวสงบ ลดการระคายเคือง พร้อมเติมความชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน เหมาะกับคนที่อยากได้โทนเนอร์ที่ไม่ระคายเคืองและบำรุงผิวในขั้นตอนเดียว เนื้อสัมผัสค่อนข้างเข้มข้น เหมาะกับผิวแห้งหรือผิวที่ต้องการบำรุงล้ำลึก

ราคา: 💰💰 (ระดับกลาง-สูง) ประมาณ ¥3,667 (≈฿790) | ขนาด: 180ml

*หมายเหตุ: ราคาจริงอาจแตกต่างตามร้านค้าและโปรโมชันในแต่ละช่วง

คำศัพท์ญี่ปุ่นที่ควรรู้เวลาช้อปในร้าน

เมื่อเดินช้อปในดรักสโตร์ญี่ปุ่น การรู้คำศัพท์พื้นฐานจะช่วยให้นักท่องเที่ยวนั้น เลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น นี่คือคำที่พบบ่อยบนฉลากโทนเนอร์นั่นเอง

Mmtb

Blogger : Mmtb

หนุ่มใต้ เคราดก หลงรักตัวอักษรไทย กับจักรยาน เมาท์เท่น ไบค์ วินเทจ

74 Posts

โหวต

| Polls
โหวต | Polls
  • เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่น คุณมี “เมนูในดวงใจ” ที่ตั้งใจจะไปกินให้ได้ไหม?

    View Results

    Loading ... Loading ...

สถานที่เที่ยว

| Feature
CCJ Hotel Search

กรณีฉุกเฉิน

| Emergency
  • Police

    110

  • Ambulance

    119

  • AMDA International Medical Information Center

    03-6233-9266

  • สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว

    090-4435-7812

  • สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซาก้า

    090-1895-0987

  • สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟุกุโอกะ

    090-2585-3027 หรือ 090-9572-1515

จองทริปของคุณ

| Book your trip
With:
City:

Check-in:

Night :

x