JR Pass & พาสทางเลือก
Jr Pass แบบใช้ได้ทั่วประเทศ
ถ้าพูดถึงการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟแล้ว สิ่งที่นักท่องเที่ยวจะนึกถึงเป็นอันดับแรกๆเลยคือ Jr Pass โดย Jr Pass นั้นได้มีหลายรูปแบบ หลายภูมิภาค มีตั้งแต่พาสแบบทั่วประเทศ ซึ่งก็จะแบ่งเป็น 7, 14, 21 วัน แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ก็จะใช้แค่ 7 หรือ 14 วัน เพราะฟรีซ่าได้ไม่เกิน 15 วัน และยังแบ่งระดับเป็น Ordinary และ Green
สำหรับ Ordinary Car นั้นจะมีราคาที่ 7 วัน 50,000 เยน, 14 วัน 80,000 เยนและ 100,000 เยนสำหรับ 21 วัน โดยสามารถจองที่นั่งได้ฟรีและสามารถถือขึ้นรถไฟ Jr แบบไม่จองที่นั่งก็ได้เช่นกัน ซึ่ง Jr Pass ในสมัยนี้นั้นสามารถใช้นั่งชินคันเซน Nozomi และ Mizuho ได้อีกด้วย แต่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
Jr Pass แบบ Green Car จะมีราคาที่ 7 วัน 70,000 เยน และ 14 วันราคา 110,000 เยน สำหรับ 21 วัน ราคาอยู่ที่ 140,000 เยน
Regional Pass ที่ยังคุ้ม
สำหรับพาสที่แบ่งตามภูมิภาคนั้นก็จะมีให้เลือกหลายภูมิภาค อย่างถ้าไปเที่ยว Tokyo ก็มีพาสอย่าง Tokyo Wide Pass แบบ 3 วัน ราคา 15,000 เยน ที่เหมาะสำหรับเที่ยว Tokyo และเมืองรอบๆที่ไม่ไกลมาก หรือถ้าอยากไปเที่ยวไกลหน่อยอย่างเช่น Tohoku ก็มีพาสอย่าง Jr East Pass ( Tohoku Area ) ซึ่งมี 2 แบบคือ 5 วัน ราคา 30,000 และ 10,000 เยน ให้เลือกใช้เป็นต้น
ส่วนภูมิภาคอื่นๆอย่างเช่นของ Jr West ก็จะมีพาสอย่าง Jr West all Area Pass 7 วัน 26,000 เยน เป็นต้น
เพื่อนๆสามารถดูข้อมูลของ Jr Pass แบบ ภูมิภาคเพิ่มเติมได้
Jr West https://www.westjr.co.jp/travel-information/th/tickets-passes/jrwest-rail-pass/
Jr Kyushu https://www.jrkyushu.co.jp/english/railpass/railpass.html
Jr Shikoku https://shikoku-railwaytrip.com/#railpass
Jr Cental https://touristpass.jp/when_using/th/
Jr East https://www.jreast.co.jp/multi/th/
Jr Hokkaido https://www.jrhokkaido.co.jp/global/english/ticket/index.html
ซึ่งพาสพวกนี้สามารถทำให้ประหยัดค่าเดินทางโดยรถไฟได้มากพอสมควร
เทคนิคการ Jr Pass ให้คุ้ม
การที่เราจะรู้ว่า Jr Pass ที่เราใช้คุ้มหรือไม่คุ้มนั้น ผมมีเทคนิคมาแนะนำครับ อันดับแรกเพื่อนๆจะต้องวางแผนการเดินทางโดยรถไฟที่พาสนั้นๆครอบคลุม ซึ่งอาจจะวางแผนก่อนแล้วค่อยเลือกพาส หรือเลือกพาสกอนแล้วค่อยวางแผนเที่ยว ก็ได้
ขั้นตอนต่อมาเมื่อเราวางแผนเสร็จแล้วก็ให้คำนวนราคารค่ารถไฟที่พาสนั้นๆครอบคลุม โดยอาจจะดูราคาผ่าน Google Maps หรือเว็บไซส์ที่ใช้ดูตารางรถไฟได้อย่างเช่น Navitime, Jorudan, Yahoojapan เป็นต้น
เมื่อคำนวนราคาได้แล้วก็นำมาเทียบกับพาสที่เลือกใช้ ว่าราคาแพงกว่าพาสหรือไม่ ถ้าคำนวนแล้วแพงกว่าพาส ก็แสดงว่าการซื้อพาสก็จะช่วยให้ประหยัดค่าเดินทางได้
ยกตัวอย่างเช่น ทริปล่าสุดของผมใช้ Jr Pass Green Car 14 วัน ราคา 110,000 เยน แต่ลองคำนวนค่าเดินทางแล้วได้ 330,000 เยน ซึ่งการซื้อพาสย่อมทำให้ประหยัดถึง 220,000 เยน
ตั๋วเครื่องบินแบบโปร, ตั๋วรถไฟ Hayatoku และ Highway Bus Pass
ตั๋วเครื่องบินแบบโปร
นี่คือปัจจัยหลักอีกอย่างของการเที่ยวแบบประหยัด นั่นคือตั๋วเครื่องบิน ซึ่งปัจจุบันนั้นมีสายการบินให้เลือกใช้บริการมากมายไม่ว่าจะเป็น Low Cost หรือ Full Service
แต่ตั๋วโปรนั้นก็มีได้ทั้ง Low Cost และ Full Service ซึ่งตั๋วโปรนั้นเราอาจจะไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ นอกจากทางสายการบินจะประกาศออกมา หรืออาจจะมีเอเจนซี่ทีมีตั๋วแบบราคาถูกขายอยู่ แต่เราสามารถคาดเดาได้ว่าจะมีเมื่อไร ซึ่งส่วนใหญ่นั้นตั๋วโปรมักจะมีช่วง Low Season ซึ่งจะเป็นช่วง พฤษภาคม ถึง ปลายกันยายน และ กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนมีนาคม แต่ช่วงอื่นอย่างเช่นซากุระหรือใบไม้เปลี่ยนสีก็มีได้
ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องหมั่นเข้าเช็คตามเว็บไซส์ของสายการบินนั้นๆ หรือตามเอเจนซี่ แต่ให้ระวังมิจฉาชีพด้วยเช่นกัน
ตามพวกเอเจนซี่ดังต่างๆอย่างเช่น Klook, KKday, Trip ก็มักจะมีดีลแบบพิเศษหรือแบบ Flash sale ด้วย
Hayatoku
สำหรับผู้ที่มีแพลนจะนั่งรถไฟชินคันเซนแต่ไม่ได้ใช้ Jr Pass การซื้อตั๋วที่เรียกว่า Hayatoku นั้น ก็จะเป็นอีก 1 วิธีในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ตั๋วแบบ Hayatoku นั้นถ้าจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซส์ https://smart-ex.jp/en/product/ ซึ่งก็จะมีแบบจองล่วงหน้า 1 วัน, 3 วัน, 7 วัน และ 21 วัน ก็จะได้รับส่วนลดค่าโดยสาร
Highway Bus Pass
สำหรับ Highway Bus Pass นั้น เป็นบัตรที่ขายเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติตัวอย่างเช่น Tohoku Highway Bus Ticket ที่สามารถใช้ขึ้นรถบัสแบบด่วนและบัสแบบธรรมดาในภูมิภาค Tohoku ได้บางสาย แบบไม่จำกัดเที่ยว ซึ่งจะมีหลายราคา หลายพื้นใน Tohoku เช่น ทั้งหมดของภูมิภาค, Tohoku ตอนเหนือ, Tohoku ตอนใต้ เป็นต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
Tohoku Highway Bus Ticket https://japanbuslines.com/en/thbt/
Japan Bus Pass ของ Willer https://willer-travel.com/st/3/en/pc/buspass/
Tax-free และ Cashless
Tax-free
สำหรับ Tax – Free นั้นหลายคนน่าจะทราบกันดีกว่า คือการยกเว้นภาษี ซึ่งมีข้อกำหนดที่จะต้องซื้อสินค้าในร้านที่มีป้าย Japan Tax – Free Shop มากกว่า 5,500 เยนขึ้นไป ซึ่งก็มีข้อดีคือ ทำให้ประหยัดไปอย่างน้อย 550 เยน ยิ่งซื้อเยอะยิ่งประหยัดเยอะ
วิธีการทำ Tax – Free ก็ค่อนข้างง่าย ตอนชำระเงินให้ไปที่แคชเชียร์ที่มีป้าย Tax – Free แล้วแจ้งกับพนักงานว่าต้องการทำ Tax – Free จากนั้นก็ยื่นพาสปอร์ต แต่บางร้านก็อาจจะข้อดูลายเซ็นต์ที่บัตราเครดิต/เดบิต ว่าตรงกับพาสปอร์ตของนักท่องเที่ยวหรือไม่
Cashless
การชำระเงินแบบไร้เงินสด ( Cashless ) ก็จะมีหลายวิธีเช่นบัตรเครดิต/เดบิต, Ic Card, การจ่ายเงินผ่านแอปต่างๆ
ซึ่งการชำระเงินแบบไร้เงินสด ( Cashless ) นั้นบางวิธีอย่างเช่นการชำระผ่านแอป Wechat Pay หรือแอป Paypay ก็อาจมีคูปองพิเศษหรือสิทธิ์ต่างๆ ซึ่งก็ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้
การเลือกที่พัก
นี่ก็นับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆอีกอย่างของการเที่ยวแบบประหยัด นั่นก็คือที่พักสำหรับการเลือกที่พักแบบประหยัดนั้น นักท่องเที่ยวอาจจะต้องพิจารณาการพักที่พักที่เรียกว่า Hostel ซึ่งราคาจะถูก แต่จะต้องนอนรวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบความเป็นส่วนตัว
อีกวิธีหนึ่งคือการไปพักเมืองรอง ซึ่งเมืองรองอาจจะต้องนั่งรถไฟไปอีก 15 – 40 นาที แต่ราคาที่พักในบางที่จะถูกกว่าเมืองใหญ่ถึง 2 เท่า ถ้านอนหลายคืนก็ประหยัดไปได้ถึง 3 – 4 พันบาท
ยกตัวอย่างเช่นถ้าไปเที่ยว Fukuoka ซึ่งที่พักแถวสถานี Hakata จะราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้านักท่องเที่ยวนั่งรถไฟชินคันเซนประมาณ 15 นาทีไปยัง Kokura ซึ่งที่พักส่วนใหญ่จะถูกกว่า Hakata ถึง 2 เท่า
กิน-ช้อปราคาประหยัด
ซุปเปอร์มาร์เกตช่วงค่ำๆ
นี่คือช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวสายประหยัดจะชอบมากที่สุด สำหรับซุปเปอร์มาร์เก็ตดังๆ อย่างเช่น Max Vaelu, ร้านค้าแถวสถานีรถไฟใหญ่ๆ, ซุปเปอร์มาร์เก็ตตามห้าง ในช่วงเวลาประมาณ 1 – 2 ทุ่มเป็นต้นไป จะเริ่มมีการติดสติกเกอร์ลดราคาในโซนอาหาร
ซึ่งจะลดราคาตั้งแต่ 30% – 70% เลยทีเดียว ซึ่งช่วยให้ประหยัดค่าอาหารได้พอสมควร
ร้าน 100 เยน & Outlet
สำหรับการช็อปปิ้งนั้น นักท่องเที่ยวก็สามารถซื้อของฝากได้ที่ร้าน 100 เยน อย่างเช่น Daiso ซึ่งราคาจะไม่แพงมาก และมีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายหลายอย่าง
นอกจากร้าน 100 เยนแล้ว Outlet ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมี Shop ที่รับสินค้ามาจากโรงงานโดยตรงมาจำหน่ายให้ลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการลดราคา ซึ่งอาจจะลดสูงสุดถึง 70% – 80% กันเลยทีเดียว ซึ่งนักท่องเที่ยวสายประหยัดห้ามพลาดการไปช็อปปิ้งที่ Outlet
เพื่อนๆสามารถเข้าไปอ่านบทความของฝากราคาถูกเพิ่มเติมได้ที่นี่
ของฝากญี่ปุ่นราคาถูก – 39 ไอเดียของดีราคาเบา ที่ซื้อแล้วคนรับยิ้มทุกคน
ประกันเดินทาง: ความคุ้มค่า & สิ่งที่ควรรู้
การทำประกันการเดินทาง คือสิ่งที่ทุกคนต้องทำก่อนออกเดินทางไม่ว่าจะเป็นคนที่เที่ยวแบบประหยัดหรือไม่ประหยัดก็ตาม เพราะอุบัติเหตุหรือเหตุไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
ความคุ้มครองหลักที่ห้ามพลาด
สำหรับการซื้อประกันนั้นนักท่องเที่ยวจะต้องเช็คความคุ้มครองต่างๆของประกันบริษัทนั้น ว่าครอบคลุมความเสียหายเหล่านี้หรือไม่ โดยหลักๆคือ ค่ารักษาพยาบาล, สัมภาระหายหรือเสียหาย, การยกเลิกทริป และความล่าช้าของสายการบิน
วิธีเทียบราคา และซื้อออนไลน์
การซื้อประกันการเดินทางนั้น ส่วนใหญ่มักจะหลายราคา ซึ่งบางบริษัทก็เรียกว่า Plan A, Plan B เป็นต้น ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องเปรียบเทียบกันว่า ในแต่ละแพลนนั้นมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันอย่างไร และราคาเบี้ยประกันต่างกันมากมัั้ย
สำหรับการซื้อประกันแบบออนไลน์นั้น ข้อดีก็คืออาจจะมี Code ส่วนลด ซึ่งก็จะทำให้ราคาถูกลงไปอีก
วิธีเคลม
ในการซื้อประกันนั้น ส่วนใหญ่ทางบริษัทประกันมักจะส่งวิธีเคลมมาเป็นเอกสาร แต่เพื่อความชัวร์นักท่องเที่ยวควรเก็บใบเสร็จ เบอร์โทรติดต่อของบริษัทประกันไว้ และควรหาช่องทางติดต่อกับบริษัทประกัน ซึ่งบางบริษัทนักท่องเที่ยวก็สามารถแชทกับพนักงานได้ที่หน้าเว็บไซส์ ซึ่งก็จะสะดวกในการเคลมหรือขอเบอร์ติดต่อ ( เบอร์ญี่ปุ่น )
บริษัทประกันที่แนะนำ
สรุป
แล้วก็จบลงไปแล้วครับสำหรับบทความ “ เที่ยว ญี่ปุ่น แบบ ประหยัด ไม่เสียอรรถรส วางแผนไว้สบายแน่นอน “ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะเห็นได้ว่าการเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดนั้นสามารถทำได้ โดยมีปัจจัยหลักๆคือ ค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าที่พัก, ค่าเดินทางในประเทศ, ค่าอาหาร ซึ่ง 4 ปัจจัยหลักนี้ นักท่องเที่ยวก็สามารถศึกษาได้จากบทความนี้และนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนการเดินทางได้อย่างแน่นอน