1. ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)
ทะเลสาบโทวาดะ ตั้งอยู่ในจังหวัดอาโอโมริ บริเวณเขตอุทยานแห่งชาติ Towada-Hachimantai ซึ่งมีพรมแดนติดต่อถึงเขตจังหวัดอาคิตะ เป็นทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอนชู เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟ
และมีความลึกเป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องใบไม้เปลี่ยนสี โดยเฉพาะรอบๆ ลำธารโออิราเซะ
(Oirase Stream)
จุดเด่นของทะเลสาบแห่งนี้ก็คือ ภาพวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไปตามฤดูกาล ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนพื้นที่แห่งนี้จะปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเขียวสด เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะเปลี่ยนสีไล่เฉดสีกันอย่างสวยงาม ในฤดูหนาวก็มีทิวทัศน์ท่ามกลางหิมะที่ยอดเยี่ยม ตอบโจทย์คนรักธรรมชาติสุดๆ
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบริการ “เรือชมวิวทะเลสาบโทวาดะ” (Lake Towada Cruise) ให้ได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์และอากาศอันบริสุทธิ์บนเรือสำราญถึง 50 นาที มีเส้นทางชมวิวให้เลือก 2 เส้นทาง เรือจะออกทุกๆ 30 นาที
ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada)
ที่อยู่ | 486 Yasumiya, Towada-kohan, Okuse, Towada, Aomori 018-5501 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Aomori นั่งรถบัส JR Bus Tohoku (ที่เขียนว่า “Mizuumi-go”) ไปลงที่ป้าย Towada-ko ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 10-15 นาที **สามารถใช้ JR Pass ได้ทั้งรถไฟชินคันเซน และรถบัส JR แต่ตั๋ว JR East Pass ใช้ได้เฉพาะรถไฟชินคันเซนเท่านั้น |
เวลาทำการ | ในเเต่ละปีเรือจะเริ่มให้บริการในช่วงสิ้นเดือนเมษายน – ต้นเดือนพฤศจิกายน เรือรอบเเรกออกเวลา 08.15 น. เรือรอบสุดท้ายออกเวลา 16.00 น. **ปิดให้บริการในฤดูหนาว |
ราคา | ค่าล่องเรือสำราญ : ผู้ใหญ่ 1,430 บาท เด็ก 720 บาท |
Website | Lake Towada |
2. ทะเลสาบโกชิคินุมะ (Goshikinuma Ponds)
ทะเลสาบโกชิคินุมะ จุดชมวิวที่ใหญ่ที่สุดของที่ราบสูงอุระบันได (Urabandai) เป็นทะเลสาบที่มีถึง 5 สี ไล่ตั้งแต่
สีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีฟ้าโคบอลต์ เกิดจากการตกตะกอนของแร่ธาตุจากการระเบิดของภูเขาไฟในปี 1888
สีของน้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามสภาพอากาศ ช่วงเวลา และปัจจัยอื่นๆ นักท่องเที่ยวสามารถพายเรือ
ชมงามของทะเลสาบแห่งนี้ได้อย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังมีเส้นทางไต่เขารอบๆ ทะเลสาบและเส้นทางเดินป่าไว้สำหรับ
นักเดินทางที่ชอบสำรวจธรรมชาติอีกด้วย
เส้นทางเดินชมธรรมชาติมีระยะทางยาวเกือบ 4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง มักเริ่มต้นเดินจากจุดบริการนักท่องเที่ยว เดินผ่านบึงหลักๆ ทั้งหมด 8 บึง ซึ่งจะมีเฉดสีและเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
บอกเลยว่าวิวสวยคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่นี่ถือเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆ ของภูมิภาคโทโฮคุเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะมีผู้คนมากมายพากันไปชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีตัดกับบึงน้ำสีฟ้าสด ส่วนช่วงฤดูหนาว ที่นี่ก็จะให้บรรยากาศที่เงียบสงบ เส้นทางเดินถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ บึงน้ำที่มีหิมะอยู่รอบๆ กับฉากหลังภูเขาสีขาวโพลน
ก็เป็นทิวทัศน์ที่งดงามไปอีกแบบ
ทะเลสาบโกชิคินุมะ (Goshikinuma Ponds)
ที่อยู่ | 1093-1055 Aza Kengamine, Ooaza Hibara, Kitashiobara, Yama, Fukushima 969-2701 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย Tohoku Shinkansen มาลงที่สถานี Koriyama เเละเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย JR Ban-etsu มาลงที่สถานี Inawashiro จากนั้นนั่งรถบัส Bandai Higashi Miyako บริเวณหน้าสถานีมาลงที่ป้ายรถบัส Goshiki-numa Iriguchi |
ราคา | ค่าบริการเรือพาย 30 นาที 700 เยน |
Website | Goshikinuma Ponds (ภาษาญี่ปุ่น) |
3. สวนฮานามิยาม่า (Hanamiyama)
สวนฮานามิยามะ หนึ่งในจุดชมดอกไม้ที่สำคัญในจังหวัดฟุกุชิมะ ตั้งอยู่บนเนินเขาที่ล้อมรอบด้วยพื้นที่ทางการเกษตรในชนบท เริ่มต้นจากเกษตรกรในท้องถิ่นปลูกไม้ดอกและไม้ประดับบนเนินเขารอบที่ดินของตนเอง
และขยายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 1959 ก็ได้เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะให้เข้าชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิของทุกๆ ปี
ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมกว่าหลายพันคนเลยทีเดียว
นอกจากซากุระในเดือนเมษายนที่งดงามเป็นพิเศษแล้ว ที่นี่ยังมีดอกไม้นานาชนิดให้ได้ชื่นชม ฤดูชมดอกไม้ของ
ที่นี่ยังมีระยะเวลายาวนานอีกด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนไปจนถึงปลายเดือนเมษายน เมื่อย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้กว่า 70 ชนิดในสวนแห่งนี้ รวมถึงดอกบ๊วย ซากุระ ฟอร์ซีเธีย และแมกโนเลีย ก็จะพร้อมใจกันออกดอกบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ
สวนฮานามิยาม่า (Hanamiyama)
ที่อยู่ | Watari, Fukushima 960-8141 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Fukushima ป้ายรถบัสหมายเลข 6 (ทิศตะวันออก) จะมีรถ Shuttle bus ให้บริการไปยังสวน Hanamiyama ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ต้น-ปลายเดือนเมษายน) ใช้เวลา 15 นาที รถบัสจะออกทุกๆ 15-30 นาที หรือนั่งแท๊กซี่ไปประมาณ 15 นาที |
เวลาทำการ | เวลาทำการจะเเตกกันไปตามฤดูกาล Reception 9.00 – 18.00 น. |
Website | Hanamiyama (ภาษาอังกฤษ) |
4. หมู่บ้านโออุจิจูคุ (Ouchi-Juku)
หมู่บ้านโออุจิจูกุ ตั้งอยู่ในจังหวัดฟุคุชิมะ เป็นหมู่บ้านโบราณที่ยังคงบรรยากาศและกลิ่นอายคลาสสิกในยุคเอโดะเอาไว้ ปัจจุบันเปลี่ยนสภาพเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ก็เป็นเมืองที่ถูกอนุรักษ์ตามกฏหมายของญี่ปุ่น และได้รับการ
ขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าของชาติ
หมู่บ้านโบราณแห่งนี้ยาวประมาณ 500 เมตร อาคารบ้านเรือนมุงด้วยหญ้าคาหนา มีการบูรณะให้เป็นร้านค้า
ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และบ้านพักแบบโฮมสเตย์ จนทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมกว่า
1.2 ล้านคนต่อปี
เดินชมบ้านสไตล์โบราณ พร้อมชิมอาหารขึ้นชื่อประจำท้องถิ่นหลากเมนู ไม่ว่าจะเป็น โซบะต้นหอม ที่ใช้ต้นหอมคีบเส้นแทนตะเกียบ โมจิย่างมิโสะ ปลาเสียบไม้ย่างกับกองไฟ หรือน้ำดื่มขวดที่แช่เย็นด้วยทางน้ำที่ไหลผ่าน
หน้าร้านทุกร้าน
ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ที่นี่จะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เกิดเป็นทัศนียภาพของหมู่บ้านโบราณท่ามกลางหิมะขาวโพลนสวยงาม
หมู่บ้านโออุจิจูคุ (Ouchi-Juku)
ที่อยู่ | Ouchi, Shimogo, Minamiaizu, Fukushima 969-5207 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Sendai นั่งรถไฟ Shinkansen Yamabiko มาลงที่สถานี Koriyama จากนั้นนั่งรถไฟสาย JR Ban etsu Saisen มาลงที่สถานี Aizu Wakamatsu แล้วนั่งรถไฟของ การรถไฟไอซึ (Aizu Railway) มาลงสถานี Yunokami Onsen จากนั้นต่อแท็กซี่ไปอีก ประมาณ 15 นาที |
เวลาทำการ | 09.00 น. – 17.00 น. (เวลาทำการจะเเตกกันไปตามฤดูกาล) |
ราคา | ค่าธรรมเนียมจอดรถ 500 – 3,000 เยน |
Website | Ouchi-Juku (ภาษาญี่ปุ่น) |
5. อัปปิโคเก็นสกีรีสอร์ท (Appi Kogen Ski Resort)
อัปปิโคเก็นสกีรีสอร์ท หนึ่งในสกีรีสอร์ทที่ดีที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงอัปปิในจังหวัดอิวาเตะ
มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นลานสกีขนาดใหญ่และมีพื้นที่กว้างขวาง มีลู่วิ่งสกีถึง 21 ลู่ ระยะทางกว่า 43 กิโลเมตร
รวมไปถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมาะสำหรับนักสกีทุกระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มเล่นไปจนถึงนักสกีและ
นักสโนว์บอร์ดระดับมืออาชีพ เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ตอบโจทย์คนที่รักในการเล่นสกี
ที่นี่มีกิจกรรมหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น Snow Mobile, Snow Tubing, Snow Rafting, ลานเล่นหิมะ, ลานสกีสำหรับเด็ก และอื่นๆ อีกมากมากมาย นอกจากนี้ยังมีห้องพักสุดหรู ร้านอาหาร โรงเรียนสอนเล่นสกีและสโนว์บอร์ด คอยให้บริการอีกด้วย ใครอยากเล่นสกีแต่เล่นไม่เป็นก็สามารถมาเรียนตั้งแต่เบสิคได้ที่นี่ คุ้มค่ามากๆ มาแล้ว
ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
อัปปิโคเก็นสกีรีสอร์ท (Appi Kogen Ski Resort)
ที่อยู่ | 11-3 Kawarago, Fukuokayatsumiya, Shiroishi, Miyagi 989-0733 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Morkioka นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Appi Kogen ซึ่งห่างจากสกีรีสอร์ทไปประมาณ 3 กิโลเมตร (สามารถใช้ตั๋ว JR East Pass ได้) จากนั้นนั่งรถ Shuttle Bus ไปยังลานสกี |
เวลาทำการ | 08.30 – 20.00 น. สกีกลางคืนเริ่ม 16.00 – 20.00 น. Appi Gondola 08.30 – 16.30 น. Central quad 8.30 – 16.30 น. Central 2nd lift 08.40 – 16.30 น. Central 3rd lift 8.50 – 16.30 น. Sailer quad 09.00 – 15.50 น. Nishimori lift 9.00 – 15.30 น. |
ราคา | 1 Day Pass : ผู้ใหญ่ 4,600 เยน เด็ก 3,000 เยน |
Website | Appi Kogen Ski Resort (ภาษาอังกฤษ) |
6. หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกแห่งซาโอะ (Zao Fox Village)
หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกแห่งซาโอะ ตั้งอยู่ในหุบเขาลึกของจังหวัดมิยางิ เป็นสวนสัตว์แบบเปิดที่เลี้ยงสัตว์เอาไว้หลายชนิด รวมถึงสุนัขจิ้งจอกนับร้อยตัว ที่เลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติ ภายในจะแบ่งออกเป็นโซนที่มีลูกจิ้งจอกและสัตว์ชนิดอื่นๆ ให้เดินดูอย่างเพลิดเพลิน และโซนหมู่บ้านที่เปิดให้ได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงจิ้งจอกแสนน่ารัก
และยังเป็นจุดที่สามารถถ่ายรูปจิ้งจอกในอิริยาบถต่างๆ ได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย
หากเลือกมุมและฉากหลังดีๆ ล่ะก็ จะได้ภาพน้องออกมาอย่างสวยงามราวกับภาพวาด ส่วนใครอยากได้ช็อตที่น้องมองกล้อง แนะนำว่าให้ซื้ออาหารถุงละ 200 เยนที่มีจำหน่ายอยู่ในนั้น ไปเปย์น้องๆ เพื่อเพิ่มความสนใจ ซึ่งจะช่วยให้กะจังหวะถ่ายได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือน มกราคม – มีนาคม จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมาก เพราะขนของจิ้งจอกจะมีความฟู หนา และสวยงามเต็มที่ ลองนึกภาพฝูงสุนัขจิ้งจอกวิ่งเล่นกันอย่างอิสระท่ามกลางลานหิมะขาวดูสิ ช่างเป็นภาพที่
น่าเอ็นดู และหาชมได้ยากมากๆ ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวจังหวัดมิยางิ อย่าลืมมาเช็คอินนะ
หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกแห่งซาโอะ (Zao Fox Village)
ที่อยู่ | 11-3 Kawarago, Fukuokayatsumiya, Shiroishi, Miyagi 989-0733 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Sendai นั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี Shiroishi-Zao จากนั้นนั่งแท็กซี่ ต่อไปอีกประมาณ 20 นาที |
เวลาทำการ | 09.00 น. – 16.30 น. เข้าก่อน 16.00 น. **เวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ |
วันหยุด | วันพุธ |
ราคา | มัธยมต้นขึ้นไป 1,000 เยน ประถมและต่ำกว่า ฟรี (เเต่จะต้องมีผู้ปกครอง) |
Website | Zao Fox Village |
7. ทาชิโระจิมะ (Tashiro Island)
ทาชิโระจิมะ เกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่รอบเกาะประมาณ 11.5 กม. อยู่ห่างจากเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 2 ชม. เกาะแห่งนี้มีแมวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจนถูกเรียกขานกันว่าเป็น
“เกาะแมว” ที่เคยนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ จนมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมความน่ารักและเล่นกับแมว
กันเป็นจำนวนมาก
เพียงก้าวเข้ามาที่เกาะแห่งนี้ ก็ได้พบกับขบวนพาเรดแมวที่ยินดีจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ อยู่เสมอ ชาวบ้านเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์นำโชคที่ช่วยให้จับปลาได้ดี จึงทำให้แมวเหล่านี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากผู้คนบนเกาะ
กลางเกาะยังมีศาลเจ้าแมวขนาดเล็กที่สร้างให้แมวที่ครั้งหนึ่งเคยประสบกับเคราะห์ร้าย โดยมีตุ๊กตารูปแมวและของบูชาไว้อยู่รอบๆ
แมวที่ที่นี่ ไม่เชื่องเหมือนแมวจรในไทย แต่ก็ไม่ได้ดุร้าย ด้วยความรักอิสระตามฉบับแมวเหมียว จึงทำให้พบเจอแมวเหล่านี้ตามที่ต่างๆ ทั่วทั้งเกาะ บ้างก็เล่นของเล่นที่นักท่องเที่ยวนำมาให้ บ้างก็นอนอาบแดดอุ่นๆ หรือแม้แต่โมเมนต์นั่งรอส่วนแบ่งอยู่ข้างๆ ชาวประมงที่กำลังตกปลา นับเป็นภาพประทับใจที่น่ารักสุดๆ เลยล่ะ
ทาชิโระจิมะ (Tashiro Island)
ที่อยู่ | Tashirohama, Ishinomaki, Miyagi 986-0023 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Tokyo นั่งรถไฟ Tohoku Shinkansen ไปยังสถานี Sendai จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟ JR Tohoku สายหลัก มาลงที่สถานี Ishinomaki เเละขึ้นรถบัส Miyakou ไปยังท่าเรือ โดยให้ลงที่ป้าย Ajishima Line เเละนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากข้ามไปยังเกาะแมวทาชิโระ |
Website | Tashiro Island (ภาษาญี่ปุ่น) |
8. Snow Monster @ภูเขาซาโอะ (Mt. Zao)
ภูเขาซาโอะ ภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่คาบเกี่ยวระหว่างเขตแดนของจังหวัดมิยางิและจังหวัดยามากาตะ มีความสูง 1,841 เมตร รายล้อมด้วยธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ยิ่งใหญ่ และสวยงาม เดินทางมาท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล
อีกทั้งยังมีกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็น การเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ด เดินป่า แช่ออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นท่ามกลางหิมะ
ขึ้นกระเช้าไปชม Snow Monster ชื่อดัง และอื่นๆ
ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามแห่งหนึ่งของภูมิภาคโทโฮคุ อีกทั้งยังมีบริการโรปเวย์สำหรับนั่งขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงอีกด้วย
และเมื่อถึงฤดูหนาว ราวๆ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ก็จะมีการจัดงานเทศกาลปีศาจหิมะซาโอะ (Zao Snow Monster Festival) ที่มาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หิมะและเกล็ดน้ำแข็งจำนวนมากทับถมต้นสนจนมีรูปร่างคล้ายปีศาจนั่นเอง ในตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟไลท์อัพสีสันต่างๆ ก็ยิ่งทำให้ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ท่ามกลางเหล่าปีศาจเลยจริงๆ
Snow Monster @ภูเขาซาโอะ (Mt. Zao)
ที่อยู่ | 229 Zao Onsen, Yamagata, Yamagata 990-2301 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี JR East Japan Yamagata นั่งรถบัส Yamako ที่มุ่งหน้าไปยัง Zao Onsen และลงที่ป้ายสุดท้าย Zao Onsen Bus Terminal ใช้เวลาประมาณ 40 นาที |
เวลาทำการ | ตีนเขา 08.30 – 17.00 น. ยอดเขา 08.45 – 16.45 น. |
ราคา | กระเช้าลอยฟ้า (ไป-กลับ) ปลายทาง สถานี Jizo Sancho บนความสูง 1,661 เมตร ผู้ใหญ่ (มัธยมต้นขึ้นไป) 3,500 เยน เด็ก (ประถม) 1,800 เยน ปลายทาง สถานี Juhyo Kogen บนความสูง 1,331 เมตร ผู้ใหญ่ (มัธยมต้นขึ้นไป) 1,800 เยน เด็ก (ประถม) 900 เยน |
Website | Snow Monster @ภูเขาซาโอะ (ภาษาญี่ปุ่น) |
9. วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)
วัดยามาเดระ คือวัดในนิกายเทนได อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองยามากาตะ ตั้งอยู่ตามไหล่เขาสูง
จึงขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของหุบเขาที่สวยงามได้อย่างชัดเจน ชื่อทางการของวัดแห่งนี้คือ Hojuzan Risshaku Temple แต่คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า Yamadera ซึ่งหมายถึง วัดภูเขา โดยก่อตั้งขึ้นในปี 860 ยาวนานกว่าพันปี
มาแล้ว ถือเป็นวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่คนนิยมมาขอพร
หากต้องการเข้าชมพื้นที่ด้านบนของวัด จะต้องใช้เวลาเดินขึ้นบันไดหินประมาณ 1,000 ขั้น ประมาณ 30 นาที
แม้จะดูเหมือนไกลและต้องใช้กำลังขาหน่อย แต่ก็มีธรรมชาติให้ชมสองฝั่งทาง และเมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้วก็
จะได้พบกับสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจมากมาย รวมถึงอาคารที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูง มองลงมาแล้วจะเห็นวิวธรรมชาติ
ที่สวยงามมากๆ
สำหรับใครไปเที่ยวยามากาตะแล้วไม่รู้จะไปไหนดี ก็ขอให้รวบรวมกำลังขากันสักนิด แล้วแวะไปชมความเก่าแก่และความสวยงามของวัดและธรรมชาติที่วัดยามาเดระบนเขาสูงแห่งนี้กันดูสักครั้งนะ
วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)
ที่อยู่ | 4456-1 Yamadera, Yamagata, Yamagata 999-3301 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Yamagata นั่งรถไฟ JR สาย Senzan มาลงที่สถานี Yamadera ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | 08.00 – 16.00 น. (เวลาทำการจะเเตกต่างกันไปตามฤดูกาล) |
ราคา | ผู้ใหญ่ 300 เยน นักเรียนมัธยมต้น 200 เยน เด็ก (4 ปีขึ้นไป) 100 เยน |
Website | Yamadera Temple (ภาษาญี่ปุ่น) |
10. Akita Inu @Odate
เมืองโอดาเตะ จังหวัดอากิตะเป็นบ้านเกิดของสุนัขพันธุ์ “อากิตะ” สายพันธุ์ดั้งเดิม หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “ฮาจิโกะ” สุนัขพันธุ์อากิตะยอดกตัญญู ที่มาเฝ้ารอเจ้าของอยู่หน้าสถานีรถไฟชิบูย่า เป็นเวลา
10 ปี จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต หลังจากที่หนังสือพิมพ์ได้นำไปเผยแพร่ ฮาจิโกะก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งญี่ปุ่นและ
ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์ และความภักดี เป็นต้นมา
ใครที่เป็นแฟนคลับตัวจริงของ ฮาจิโกะ ต้องมาตามรอยถึงบ้านเกิดที่เมืองโอดาเตะแห่งนี้ให้ได้ และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์สุนัขพันธุ์อากิตะ สถานที่จัดเทศกาลประกวดสุนัขพันธุ์อากิตะ รวมถึงรูปปั้น ฮาจิโกะเวอร์ชั่นต่างๆ ไปจนถึงฝาท่อรูปสุนัขพันธุ์อากิตะ เรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งสุนัขพันธุ์นี้จริงๆ
สถานีโอดาเตะมีสุนัขอากิตะ ประจำการเป็น “นายสถานี” คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีศาลฮาจิโกะเล็กๆ ในสถานี ร้านขายของที่ระลึกลวดลายอากิตะอินุ พิพิธภัณฑ์สุนัขพันธุ์อากิตะ และจุดพบน้องหมาอากิตะ
ตัวเป็นๆ อีกด้วย
Akita Inu @Odate
ที่อยู่ | 1-13-1 Onari, Odate, Akita 017-0044 |
---|---|
วิธีเดินทาง | จากสถานี Yamagata นั่งรถไฟ JR สาย Senzan มาลงที่สถานี Yamadera ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที |
เวลาทำการ | Akita Inu Tourism 08.30 – 17.15 น. Akita Dog Visitor Center 09.00 – 17.00 น. (เวลาทำการจะเเตกต่างกันไปตามเเต่ละสถานที่) |
ราคา | พิพิธภัณธ์สุนัขอาคิตะ : ผู้ใหญ่ 200 เยน เด็ก 100 เยน |
Website | Akita Inu @Odate (ภาษาอังกฤษ) |
รวมบทความเที่ยว ‘โทโฮคุ’
จังหวัดไหนจะมีอะไรน่าสนใจ รวมทั้งการเดินทาง กิจกรรมสนุกบนกองหิมะ พิกัดเที่ยวจุใจ ข้อมูลจัดเต็มทุกรูปแบบ
- อ่านบทความเที่ยว Aomori
- อ่านบทความเที่ยว Fukushima
- อ่านบทความเที่ยว Miyagi
- อ่านบทความเที่ยว Yamagata
- อ่านบทความเที่ยว Akita
ข้อสรุป
10 ที่เที่ยวยอดนิยมในภูมิภาคโทโฮคุ แต่ละที่นั้นฮอตฮิตสุดๆ ใครที่อยากไปเที่ยว พักผ่อน ใช้เวลากับครอบครัว คนรัก และเพื่อนๆ อยู่ล่ะก็ สามารถนำลิสต์สถานที่เหล่านี้ไปเป็นไอเดียในการเลือกที่เที่ยวกันได้นะ เพราะเราคัด
มาแล้วว่าวิวสวย บรรยากาศดี กิจกรรมเด่น ถูกใจสายเที่ยวทุกแนวอย่างแน่นอน ไปเที่ยวโทโฮคุทั้งที ถ้ามีโอกาส
ก็อยากแนะนำให้ไปเก็บให้ครบทุกสถานที่เลย แล้วทริปเที่ยวโทโฮคุของคุณจะเป็นทริปที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลยล่ะ