ครั้งนี้เราจะพาเพื่อนๆไปท่องโลกเสมือนจริงของค่ายการ์ตูนใหญ่ของญี่ปุ่น อย่างค่าย Studio Ghibli ที่ถูกสร้างขึ้นภายในพื้นที่ของ Expo 2005 Aichi Commemorative Park (Moricoro Park)
การเดินทางไปที่ Ghibli Park เป็นการนั่งรถไฟ ….. สาย Linimo ลงที่สถานี Ai-chikyuhaku kinen koen ออกทางประตู 2 ก็จะเจอทางเข้า
จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปที่ลิฟต์ Elevator Tower ลงชั้นหนึ่งเพื่อเข้าไปในส่วนของ Ghibli Park
Hill of Youth
ใครจะเดินไปขึ้นรถบัสของ Ghibli Park ก็ได้ หากขึ้นรถบัสเราขอแนะนำว่าให้ไปลงที่ป้ายสุดท้ายเพื่อเที่ยวชมบ้าน Mei’s House และ Dondoko Forest ก่อนค่ะ
แต่ถ้าเลือกลงลิฟต์ Elevator Tower ก็สามารถเดินเลี้ยวซ้ายไปโซน Hill of Youth ซึ่งเป็นร้านของคุณลุง Nishi Shiro แฟนการ์ตูนต้องชอบร้าน Chikyu-ya ของคุณลุงที่ขายสารพัดสิ่งได้แน่นอน ซึ่งร้านของคุณลุงอยู่ในเรื่อง Whisper of the Heart
ด้านหน้าร้าน Chikyu-ya เราจะพบบ้านของ Baron ซึ่งเป็นตุ๊กตาแมวของคุณ Nishi ที่มีความคูล และถือเป็นแมวที่ช่วยดำเนินเรื่องในการ์ตูนเรื่อง Mimi o Sumaseba ด้วย
ด้านในร้าน Chikyu-ya ไม่สามารถถ่ายรูปได้ แนะนำว่าถ่ายรูปคู่กับบรรยากาศต่างๆ ด้านนอกอย่างป้ายเมล์ Seishun no Oka เพื่อยืนยันว่าเรามาถึงโซน Hill of Youth แล้วนะ
จุดที่คนต่อคิวยาวสุดๆ คงเป็นเจ้าตู้โทรศัพท์ข้างป้ายรถเมล์นี้ ที่พอเรายกหูขึ้นฟัง เราจะได้ยินเสียงปลายสายที่จะสร้างความแปลกใจแบบให้ความรู้สึกเอ๊ะ อะ โอ๊ะ ที่ตามมาพร้อมกับเสียงหัวเราะได้แน่นอน
เดินลงมาด้านล่างเราจะพบอุโมงค์ความฝันของ Shizuku ที่เป็นนางเอกของเรื่อง ใครที่เคยดูการ์ตูนเรื่องนี้จะหลงรักบรรยากาศและอย่าลืมไปฝึกร้องเพลง Take me home, Country Roads กันไว้ด้วยนะ มันได้ฟีลมากๆ เลย ฮี่ๆๆๆ
Ghibli’s Grand Warehouse
เสร็จจากโซน Hill of Youth ไปต่อกันที่ Ghibli’s Grand Warehouse โซนนี้ถือเป็นโซนหลักที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ขอย้ำว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
นี่เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ใน “Quartier Latin” และนี่คือชมรมปรัชญา ที่อยู่ในห้องเก็บของเล็กๆ ที่มีประโยคเด็ดว่า “พวกเรารักปรัญชา มีแค่ถังไม้ก็อยู่ได้แล้วครับ” คำตอบอย่างเท่
From Up on Poppy Hill เป็นการ์ตูนโรแมนติกอีกเรื่องที่เพลงเพราะมาก อยากให้เพื่อนๆ ได้ลองไปหาดูและฟังกัน และนี่ก็เป็นฉากหนึ่งในการ์ตูนเรื่องนี้ ที่อยู่ในตึก“Quartier Latin”
เสร็จจากเดินชมตึกละติน ควอเตอร์ ก็ถึงเวลาชมภาพยนตร์แอนิเมชันตอนพิเศษกันแล้ว ตรงจุดนี้คือด้านหน้าทางเข้าโรงภาพยนตร์ค่ะ
รอบที่เราไปดูเรื่อง Kujiratori ซึ่งจริงๆ แล้วภาพยนตร์แอนิเมชันที่ฉายใน Ghibli Park มีทั้งหมด 10 เรื่อง และทุกเรื่องล้วนเป็นตอนพิเศษที่ค่าย Studio Ghibli สร้างขึ้น นี้บัตร
พอมาถึงก็ยื่นบัตรชมภาพยนตร์ให้เจ้าหน้าที่ฉีกท้ายตั๋ว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเราได้ใช้ตั๋วดูหนังแล้วนะ
ตรงส่วนนี้คือส่วนของจัดแสดงพิเศษ ที่ให้อารมณ์เหมือนเพิ่งออกจากโรงหนัง เพราะสองข้างทางเป็นโปสเตอร์ของแอนิเมชันของค่าย Studio Ghibli ทั้งหมด
เรียกได้ว่าสำหรับแฟนการ์ตูน Studio Ghibli มาที่นี่ต้องตื่นเต้น เพราะมีการ์ตูนที่แปลกตาอีกหลายต่อหลายเรื่องที่เราอาจจะยังไม่เคยดูแต่ปรากฏอยู่
ตรงบาร์ ที่มีโตะโตะโระก็เป็นอีกมุมที่เพื่อนๆ สามารถเข้าไปนั่งถ่ายรูปคู่ได้ ถือเป็นอีกมุมที่คนรักโตะโตะโระไม่ควรพลาด
ในห้องยังมี เนะโกะบัส รถบัสแมวเหมียวในเรื่องโตะโตะโระ ที่สามารถจุคนได้หลายคนมากๆ ไม่ต้องบอกว่าเด็กๆ เท่านั้นที่เห็นแล้วจะต้องชอบ เพราะผู้ใหญ่ที่ชื่นชอบการ์ตูนเรื่องโตะโตะโระ ก็ต่อคิวรอถ่ายรูปกันแถวยาวเลยจ้า
มาถึงตรงบันไดกลางกัน ตรงจุดนี้จะเชื่อมหลายจุด ชั้นล่างสุดจะเป็นบ้านของ Arrietty ที่พอเราเข้าไปจะรู้สึกว่าเราตัวเล็กเท่า Arrietty ทันที
เข้ามาจุดแรกก็เจอห้องนอน Arrietty ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ใบหญ้าที่ Arrietty ชอบเก็บกลับมาเวลาที่แอบแม่ไปข้างนอก
ห้องอาบน้ำที่อยากลองลงไปอาบสักครั้งว่าจะรู้สึกยังไง คือองค์ประกอบรวมถึงสีนั้นเหมือนในการ์ตูนมากๆ เรียกได้ว่ายกออกมาจากโลกแอนิเมชันยังไงยังงั้น
มาชั้นสอง จุดถ่ายรูปที่ทุกคนไม่ควรพลาด จุดนี้รวมการ์ตูนเรื่องโปรดไว้ให้เราถ่ายรูปเล่นหลายจุดมากๆ อย่างจุดแรกเราจะพบคาโอนาชิ หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ “ปีศาจไร้หน้า” หรือ “No Face” ที่เป็นตัวละครภูติผู้โดดเดี่ยวจากเรื่อง Spirited Away
จุดต่อไปคือ Porco Rosso (Kurenaino Buta) หรือการ์ตูนที่มีชื่อว่า “The Last Romantic Hero or the Flying Pig”
จุดต่อไปเป็นการ์ตูนเรื่อง Ponyo (Ponyo on the Cliff by the Sea) เรื่องราวของเจ้าหญิงบรุลฮิล หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ โปเนียว (Ponyo) ลูกปลาครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพที่ถือกำเนิดจากฟองอากาศในท้องทะเล ที่ได้โซสุเกะ เด็กชายวัย 5 ขวบ ช่วยไว้ตอนที่ติดขวดโหลตอนกลายเป็นปลาทอง
Princess Mononoke เรื่องราวของ อะชิตะกะเจ้าชายองค์สุดท้ายแห่งเอะมิชิ ที่ต่อสู้กับปีศาจหมูป่ายักษ์ และออกตามหาที่มาของหมูป่าจนได้พบกับเด็กหญิงโมะโนะโนะเกะฮิเมะ หรือ เด็กหญิงหมาป่า
From Up on Poppy Hill แอนิเมชันที่ถ่ายทอดภาพสะท้อนของสังคมญี่ปุ่นในปี 1963 ซึ่งเป็นช่วงเวลา 1 ปีก่อนโตเกียว โอลิมปิก เป็นการ์ตูนโรแมนติกธรรมดา ๆ ที่สอดแทรกประเด็นการเมือง ทางสังคม พลังเสียงของเด็กๆ ที่ส่งไปถึงผู้ใหญ่ เป็นการ์ตูนที่ภาพสวยและมีเสน่ห์มาก
When Marnie Was There เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า ” อันนา ” ที่ถูกย้ายมาอยู่ชนบท และได้พบกับ ” มาร์นี่ ” เด็กสาวหน้าตาน่ารักที่อาศัยอยู่คฤหาสน์ร้างที่ถูกเล่า ว่ามีวิญญาณ ภูติผีอาศัยอยู่ ส่วนเรื่องราวในเรื่องไปหาดูกันนะ คือบอกเลยว่าซึ้งมาก
Pom Poko เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1960-1969 มนุษย์ตัดต้นไม้ที่เป็นบ้านและแหล่งอาหารของเหล่า ทานุกิ พวกทานุกิจึงรวมตัวกันต่อสู้เพื่อรักษาบ้านด้วยการแปลงร่างและหยุดการพัฒนาที่ดินเหล่านั้น เป็นการ์ตูนที่เรียกเสียงหัวเราะและน้ำตาอย่างหนักหน่วงมาก ยังไงก็ไปหาดูกันนะ
Castle In The Sky เรื่องราวการผจญภัย ซิต้า และ ปาซู เด็กสองคนกับการค้นหาเมืองลอยฟ้าที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย
นี่คืออีกมุมที่เพื่อนๆ ไม่ควรพลาด เพราะนี่คือหุ่นยนต์ผู้พิทักษ์ในเรื่อง Laputa ที่แสนอบอุ่นใครมาแล้วต้องตามหาจุดนี้เพื่อถ่ายภาพคู่นะคะ
เดินต่อไปเรื่อยๆ เราจะเจอโกดังขนาดใหญ่ ที่กำลังจัดเตรียมตุ๊กตาต่างๆ ของ Studio Ghibli ซึ่งมีของหลายเรื่องถูกจัดเตรียมอยู่ในโกดังนี้
ด้านนอกของโกดังเราจะพบห้องทำงานของยูบาบา แม่มดใจร้ายและเป็นเจ้าของโรงอาบน้ำที่ควบคุมโลกภูต ที่อยู่ในเรื่อง Spirited Away
Dondoko Forest
ป่าดงโดโกะสมัยโชวะ (1926-1989) มาจากฉากการเต้นรำ dondoko ในเรื่อง My Neighbor Totoro ที่ซัตสึกิและเมย์ เต้นรำกับ Totoro เพื่อหวังว่าเมล็ดพืชที่พวกเขาหว่านจะแตกหน่อเติบโตขึ้น
นี่คือเครื่องเล่นที่เด็กๆ สามารถขึ้นไปด้านในท้อง Totoro ได้ ที่จำลองมาจากฉากที่ Totoro เต้นรำให้เหล่าเมล็ดพืชเติบโต
คุดาริ เป็นรถไฟรางสำหรับขึ้นลงเขาสำหรับคนที่แข้งขาไม่ดี หรืออยากเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถไฟรางชมวิวทิวทิศน์ของป่าดงโดโกะสมัยโชวะ
Satsuki and Mei’s House
หลังจากลงจากป่าดงโดโกะสมัยโชวะ เราจะได้พบบ้านของซัตสึกิและเมย์จัง ที่ยกออกมาจากแอนิเมชันเรื่อง My Neighbor Totoro
นี่คือห้องทำงานของคุณพ่อซัตสึกิและเมย์จัง ที่ทำอาชีพเป็นนักเขียนไปพร้อมๆ กับเรียนต่อมหาวิทยาลัย และยังต้องแบ่งเวลามาดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบ ที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย
นี่เป็นอีกมุมที่ซัตสึกิและเมย์จังทำการบ้าน ซึ่งทาง Ghibli Park เก็บรายละเอียดได้ครบเหมือนในแอนิเมชัน
ตู้เก็บของบานเลื่อนหรือที่ๆคนญี่ปุ่นมักใช้เก็บฟุตง(ที่นอนแบบพับเก็บได้) และสิ่งของต่างๆ ซึ่งบ้านญี่ปุ่นในปัจจุบันก็ยังคงมีใช้อยู่
นี่คือห้องครัวที่เราสามารถหยิบจับสิ่งของต่างๆได้ รวมถึงคันโยกน้ำก็สามารถโยกเล่นได้ และมีน้ำออกมาจริงๆ ด้วยนะ
นี่เป็นนอกชานที่เด็กๆ ชอบมานั่งและเมย์จังได้พบกับโตะโตะโระสีฟ้ากับสีขาว ที่ออกมาจากช่องไม้ใต้ถุนบ้าน
นี่คือห้องอาบน้ำที่อยู่ในเรื่อง Totoro เราจะพบน้องๆ มัคคุโระ คุโระ สุเกะ (เขม่าถ่าน) ที่หลบอยู่เพราะเนื่องจากบ้านไม่มีคนมาอยู่
จักรยานที่อยู่ในเรื่อง Totoro เป็นจักรยานคันเก่งของคุณพ่อที่ใช้ปั่นไปทำงาน และปั่นตามตัวหาเมย์จังตอนที่เมย์จังหายตัวไปขึ้นรถเนโกะบัส
เครื่องรางหรือโอมาโมริของ Ghibli Park น่ารักมาก เลือกไม่ถูกเลยว่าจะหยิบชิ้นไหนพากลับบ้านด้วย เพราะทุกลายก็ล้วนเป็นตัวเอกในการ์ตูนเรื่องโปรดทั้งนั้น
Mononoke Village
โซนเจ้าหญิงโมโนโนเกะ เป็นโซนที่ทางสวนจิบลิเปิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2023 ซึ่งแบ่งออกเป็น สามส่วนคือตัวบ้าน โซนเครื่องเล่น และจุดที่พักผ่อน หนึ่งในสถานที่อย่าง Tatara-ba จำลองจากภาพของ Iron Town ในเรื่อง Princess Mononoke
โดยที่นี่ยังสามารถย่างโกเฮโมจิ ซึ่งเราสามารถเลือกซอสพิเศษอย่าง ซอสถั่วเหลือง ซอสมิโซะเกาลัด หรือซอสนโปลิตันได้ด้วย (โมจิเสียบไม้ที่เป็นอาหารท้องถิ่นของไอจิด้วย)
Tatara-ba (เจ้าหญิงโมโนโนเกะ)
โซนเจ้าหญิงโมโนโนเกะ เป็นหนึ่งในการ์ตูนของจิบลิที่ใครหลายคนชื่นชอบ
บรรยากาศของโซนนี้ เหมือนพาเราไปสัมผัสเรื่องราวกับบางฉากในการ์ตูนเรื่องเจ้าหญิงโมโนโนเกะ แค่ได้นั่งชมวิวก็เพลินแล้วนะ
Lord Okkoto
สไลด์เดอร์ธีมของ Okkotonushi หนึ่งในตัวละครของการ์ตูนเรื่องเจ้าหญิงโมโนโนเกะ ตัวขนสีขาวทำจากกระเบื้องหลากสีสันและหินกรวด ทำให้ได้ผลงานที่เสมือนจริง แถวยังเก๋เพราะเป็นเครื่องเล่นแสนสนุกในโลกความจริงของเด็กๆอีกด้วย
Demon Spirit
วัตถุที่สร้างแบบจำลองตามกามิ ซึ่งเป็นตัวละครที่ปรากฏในผลงาน บริเวณใกล้เคียงคือ “โมโนมิ ยากุระ” ในหมู่บ้านเอมิชิ
Mononoke Village Rest Stop
ร้านนี้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมรวมถึงเครื่องดื่มที่เกี่ยวข้องกับ Mononoke no Sato สามารถซื้อเครื่องดื่มได้ที่ร้านและนั่งทานสบายๆได้ที่ม้านั่งด้านนอก ซึ่งเซ็ทตั๋วสำหรับ Mononoke Village และ Ghibli’s Grand Warehouse มีจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2023 – 12 กุมภาพันธ์ 2024
Valley of Witches
Valley of Witches ได้แรงบันดาลใจจากผลงานการ์ตูนของ Studio Ghibli ที่มีแม่มดปรากฏอยู่ในเรื่องอย่าง
แม่มดน้อย Kiki, ปราสาทเคลื่อนที่ของ Howl และ มหัศจรรย์แม่มดน้อยอันย่า ซึ่งบรรยากาศและทิวทัศน์เป็นเมืองสไตล์ยุโรปที่มีอาคารที่ปรากฏในผลงานการ์ตูน Studio Ghibli อย่าง Gouchoki Bakery, ปราสาท Howl และบ้านแม่มด รวมถึง ม้าหมุน และ เครื่องบิน ซึ่งนำตัวคาแร็กเตอร์ใน Studio Ghibli มาเพิ่มความตื่นเต้นให้คนที่ชอบมากขึ้น
ร้านขนมปัง Guchokipanya Bakery
ไปต่อกันที่โซนใหม่อย่าง Valley of Witches ซึ่งโซนนี้เค้ารวบรวมเหล่าตัวละครเกี่ยวกับเวทมนตร์และพ่อมดแม่มดของจิบลิไว้ที่นี่
นี่เป็นตัวอาคารด้านหน้าของร้านขนมปัง Guchokipanya Bakery เป็นร้านขนมปังในเรื่องแม่มดน้อยกิกิ ที่ถูกสร้างขึ้นตามแบบฉบับในการ์ตูนได้ตรงเป๊ะ
แล้วพอเข้าไปด้านในเราจะได้กลิ่นของขนมปังอบใหม่ หอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง ด้านในมีขนมปังให้เลือกหลากหลาย น่ากินทุกเมนูเลยล่ะ
ด้านบนชั้นสองเป็นห้องนอนใต้หลังคาของแม่มดน้อยกิกิ ซึ่งภายในห้องจัดสิ่งของของกิกิไว้ครบ เราสามารถหยิบจับของในห้องได้ด้วยนะ
Carousel (ม้าหมุน)
นี่คือเครื่องเล่นแบบนั่งขับที่มีรูปสวนสนุกเคลื่อนที่มาในหมู่บ้านปีละครั้ง ได้รับการตกแต่งด้วยลวดลายของยานพาหนะ สัตว์ และตัวละครที่ปรากฏในผลงานต่างๆ เช่น บริการจัดส่งของกิกิ ปราสาท
ครั้งนี้เราเลยเลือกขี้ไม้กวาดของแม่มดน้อยกิกิ ได้ย้อนวัยเล่นม้าหมุนเป็นอะไรที่เราชอบมากๆ ยิ่งลมเย็นๆ พัดกระทบหน้าไปมาระหว่างนั่งม้าหมุนด้วยนะ ให้ความรู้สึกดีสุดๆ
แม่มดน้อยกิกิ (The Okino Residence)
บ้านแม่มดน้อยกิกิเป็นบ้าน 2 ชั้น ซึ่งแม่มดน้อยกิกิเป็นตัวละครหลักของ บริการจัดส่งของกิกิ โดยที่นี่ได้สร้างบ้านที่อาศัยอยู่ก่อนกิกิออกเดินทางเพื่อฝึกเป็นแม่มด ในสวนหน้าบ้านมีการปลูกดอกไม้และหญ้าที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลทั้งสี่ มีที่จอดรถข้างบ้าน
เข้ามาภายในตัวบ้านที่ชั้น 1 ด้านซ้ายมือจะเป็นร้านแม่มดที่แม่โคคิริทำยา นอกจากนี้ยังมีห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น และห้องครัวอีกด้วย บนชั้นสองมีห้องของกิกิและห้องทำงานของพ่อของเธอ ซึ่งเขาศึกษาเรื่องแม่มด เพื่อให้ได้เห็นชีวิตของตระกูลโอกิโนะ
มหัศจรรย์แม่มดอาย่า (The House of Witches)
นี่เป็นด้านหน้าของ The House of Witches บ้านของอารีในการ์ตูนเรื่องมหัศจรรย์แม่มดอาย่า ซึ่งเป็นตัวละครหลักของตัวหนึ่งในการ์ตูนเรื่องมหัศจรรย์แม่มดอาย่า
เข้ามา รวมถึงห้องทำงานของแม่มด Bella Yaga และห้องนอนของอาย่า ห้องทำงานที่ทำออกมาให้รู้สึกว่าบรรยากาศลึกลับเต็มไปด้วยส่วนผสมเวทมนตร์
ที่นี้ยังมีห้องสมุด ห้องน้ำ และห้องครัว ซึ่งตัวห้องครัวและห้องต่างๆ ถูกจัดเรียงเหมือนในการ์ตูน เลยทำให้สนุกและตื่นเต้นกับทุกห้องที่เห็น โดยแอบกระซิบบอกว่าที่นี่มีจุดความลับด้วย ไปแล้วก็ลองไปหาดูกันนะ
ร้านขายหมวก (Hatter’s Millinery)
โรงสี Hatter’s Millinery ยังจำหน่ายลูกอมและหมวกสูตรออริจินัล ด้านในก็มีสินค้าน่ารักๆเพียบเลยนะ โดยลูกอมมาในกล่องหลากสีสัน
ร้านหนังสือ
ชั้นบนจากลานภายในของโรงสีแฮตเตอร์เป็นร้านหนังสือชื่อ Witches’ Book Stacks ซึ่งมีหนังสือมากมายเกี่ยวกับแม่มดและเวทมนตร์
ร้านขายฮอทดอทอุ้งเท้าแมว (Hotdog Stand “Hot Tin Roof”)
มาถึงบ้านสีเหลืองที่โดดเด่นแห่งนี้บ้าง ที่นี่นำเสนอเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย เช่น ฮอทด็อกสีเหลือง, ขนมปังรูปแมว, เฟรนช์ฟรายส์, และเบียร์ Valley of Witches
จะกินฮอทดอกทั้งทีจะกินแบบธรรมดาได้อย่างไร ต้องลองCat’s Paw Dog (White) และ Cat’s Paw Dog (Black) ในราคา 990 เยน นะ รับรองความน่ารักเลยล่ะ
ร้านอาหาร (Flying OVEN)
มาตอนนี้หิวมากๆแล้ว “สวนอาหารแห่งแม่มด” ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบซึ่งตกแต่งภายนอกด้วยอิฐอย่างสวยงามเน้นความเป็นมายาของสถานที่ ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าหุบเขาแม่มด ริมสระน้ำสึสึจิ
นอกจากอาหารอบแสนอร่อย เช่น พายและคีชสไตล์ยุโรปแล้ว ร้านอาหารแห่งนี้ยังมีอาหารและของหวานลึกลับเล็กน้อยตามแบบฉบับของ Valley of Witches อีกด้วย
Pork Meat Pie คือเมนูอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อหมูที่อบอยู่ภายในกระทะแป้งอบและมีผักเครื่องเคียงอย่างมันฝรั่งอบ ถั่ว กินตอนร้อนๆคืออร่อยมาก ราคา 1850 เยน
ชิมขนมหวานๆแบบน่ารักกันบ้าง อย่าง Jam Cookie & Cupcake (Green)
ที่มีครีมด้านบนแสนอร่อยและยังมีขนมหวานอื่นๆอีกเพียบเลย เซ็ทนี้ราคา 1,000 เยน
Valley of Witches Beer (Pale Ale) และ Valley of Witches Beer (Hime White) ในราคาขวดละ 1,100 เยน
บนชั้นสองของร้านอาหารมีสวนบนดาดฟ้าท่ามกลางธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ลูกค้าสามารถนั่งพักผ่อนและสนุกสนานไปกับการรับประทานอาหารในบรรยากาศที่สวยงามและเงียบสงบ
ร้าน Witches Coven 13
ร้านค้านี้มีสินค้า Valley of Witches ดั้งเดิมหลากหลายรายการ ชั้นวางที่เป็นเอกลักษณ์เรียงรายไปด้วยสินค้าต่างๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอาคาร นิทรรศการ และภาพยนตร์ใน Valley of Witches
ที่ “Valley of Witches” หรือ “หุบเขาแห่งแม่มด” นักท่องเที่ยวสามารถซื้อขนมอบ รวมถึงแคนโนลีได้ที่ร้านเบเกอรี่จำลองที่กีกี้ตัวเอกจากภาพยนตร์ชื่อเดียวกันของเธอทำงานอยู่
กระเป๋าลดโลกร้อนมาแบบดีไซน์สวยงามน่ารักมากๆ ซึ่งเพื่อนๆที่ชอบธีมจิบลิจะหาซื้อของฝากน่ารักๆแบบนี้ได้ที่นี่เลย
ปราสาทของฮาวล์ (Howl’s Castle)
ปราสาทแห่งนี้ที่ทำให้หลายคนประทับใจและติดตากับรูปทรงเท่ๆไม่เหมือนใคร “Howl’s Castle” หรือในชื่อเต็มว่า “Howl’s Moving Castle” เป็นหนังอนิเมชั่นแนวแฟนตาซีที่สร้างโดยสตูดิโอ Ghibli ของญี่ปุ่น กำกับโดยฮายาโอ มิยาซากิ
เรื่องราวของ Howl’s Moving Castle เริ่มต้นจากนวนิยายเรื่อง “Howl’s Moving Castle” ของนักเขียนแนวแฟนตาซีชาวบริเตน โดย Diana Wynne Jones ที่เผยแพร่ครั้งแรกในปี 1986
ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งอยู่ในอาณาจักรสมมติที่ทั้งเวทมนตร์และเทคโนโลยีต้นศตวรรษที่ 20 แพร่หลาย โดยมีฉากหลังเป็นสงครามกับอาณาจักร
เป็นการเล่าเรื่องการผจญภัยของเด็กสาวชื่อโซฟีที่ไปพบกับปราสาทเคลื่อนที่ของเฮาล์ และที่ร่วมผจญภัยอื่น ๆ อีกมากมายในโลกแฟนตาซีที่สมบูรณ์แบบและน่าทึ่งของการสร้างสรรค์ที่ Ghibli มอบให้แก่ผู้ชม
การออกแบบโลกแฟนตาซีใน “Howl’s Moving Castle” เป็นเอกลักษณ์และสวยงามมาก ความลึกของภาพเหมือนมีชีวิต ที่สร้างบรรยากาศที่น่าทึ่งสุดๆ จนอยากเห็นของจริงในโลกแห่งความจริง
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่มีเรื่องราวที่สนุกสนานและภาพสวยงาม แต่ยังมีสาระที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความรัก การเปลี่ยนแปลง และการต่อสู้กับความตั้งใจที่แข็งแกร่ง สำหรับผู้ชมทุกคนที่ชื่นชอบแฟนตาซีเรื่องนี้ ต้องไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปมุมนี้นะ
สวนสนุก (Flying Machine)
เป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็กที่มีลักษณะคล้ายกับ “สวนสนุกเคลื่อนที่ที่มาเยือนหมู่บ้านปีละครั้ง“ และตั้งอยู่ติดกับ หอคอยเครื่องบิน“ เครื่องเล่นนี้มีคิดมาจากโลกของ “Castle in the Sky” ที่ใจกลายของเครื่องบิน Laputa and the Tiger Moth.
- อายุที่เล่นได้: 3 ถึง 12 ปี (ผู้ใหญ่ไม่สามารถเล่นได้ แต่อนุญาตให้มีผู้ใหญ่ได้เพียง 1 คนต่อเด็ก 1 คนหากมาพร้อมกัน)
- ค่าธรรมเนียม: 500 เยน
- 16 คน (จำนวนเครื่อง: 8)
เป็นเครื่องเล่นที่เราจะนั่งบนเครื่องแล้วจะถูกยกขึ้นสูงขึ้นในอากาศและหมุนรอบตัวเครื่อง ซึ่งทำให้เราได้สัมผัสกับความสนุกสนานและประทับใจจากการเคลื่อนไหวและมุมมองที่สวยงามจากที่สูง
สวนสนุก Flying Machine เป็นหนึ่งในเครื่องเล่นที่น่าสนใจและเป็นที่นิยม วิวจากด้านบนที่มองจากเครื่องเล่นทำให้มองเห็นอาณาจักรจิบลิได้แบบมุมกว้างด้วย
พิกัด Ghibli Park
ที่อยู่ | 1533-1 Ibaragabasama, Nagakute, Aichi 480-1342 |
วิธีเดินทาง | จากสถานี Nagoya นั่งรถไฟสาย Higashiyama ทางไป Fujigaoka ลงที่สถานีFujigaoka จากสถานี Fujigaoka นั่งรถไฟสาย Linimo ทางไป Yakusa ลงที่สถานี Ai-Chikyuhaku-Kinen-Koen ออกที่ประตู 2 ถึงสวน Ghibli Park |
เวลาทำการ | วันธรรมดา 10:00-17:00น. *9.00-17.00 น. ในวันธรรมดาในช่วงวันหยุดยาว เสาร์/อาทิตย์/วันหยุด 9:00-17:00น. หยุดทุกวันอังคาร |
ราคา | Ghibli Park O-Sanpo Day Pass วันธรรมดา: ผู้ใหญ่ 3,500 เยน เด็ก 1,750 เยน วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผู้ใหญ่ 4,000 เยน เด็ก 2,000 เยน – สามารถเข้าได้ทั้งหมด 5 พื้นที่ – สำหรับ “Ghibli’s Great Warehouse” ต้องจองเวลาล่วงหน้า – ไม่สามารถเข้าไปในอาคารของ “World Emporium (Hill of Youth)” “Satsuki and Mei’s House (Dondoko Forest)” “The Okino Residence” “Howl’s Castle” “The House of Witches (Valley of Witches)” ได้ Ghibli Park O-Sanpo Day Pass Premium วันธรรมดา: ผู้ใหญ่ 7,300 เยน เด็ก 3,650 เยน วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผู้ใหญ่ 7,800 เยน เด็ก 3,900 เยน – สามารถเข้าได้ทั้งหมด 5 พื้นที่ – สำหรับ “Ghibli’s Great Warehouse” ต้องจองเวลาล่วงหน้า – สามารถเข้าไปในอาคารของ “World Emporium (Hill of Youth)” “Satsuki and Mei’s House (Dondoko Forest)” “The Okino Residence” “Howl’s Castle” “The House of Witches (Valley of Witches)” ได้ |
จอง | https://ghibli-park.jp/en/ticket/ |
Website | https://ghibli-park.jp/ |
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
ไอจิยังมีที่เที่ยวมากมายหลากหลาย ที่รอให้ทุกคนเข้ามาเยี่ยมชม
10 ที่เที่ยวไอจิ (Aichi) เที่ยวเมืองสุดล้ำ สัมผัสธรรมชาติ แห่งจูบุ
จังหวัดไอจิ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่น่าสนใจ ทั้งด้านอาหาร การท่องเที่ยวด้านต่างๆ รวมไปถึงยังเป็นจุดศูนย์กลางในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ในญี่ปุ่น